วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เลขนำโชคในแต่ละราศี


เลขนำโชคในแต่ละราศี 


ราศีเมษ 


ราศีเมษ มีดาวอังคารเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่จึงได้รับอิทธิพลจากเทพเจ้าผู้บุกเบิกดาวดวง 
นี้ซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลัง ชาวเมษจึงเป็นผู้มีพลังแกร่งกล้าตั้งใจจริงกล้าหาญ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างไม่หวาดหวั่น และดูเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 9


ราศีพฤษภ


ดาวที่ปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือดาวศุกร์ โดยเทพวีนัสผู้สดสวยอ่อนหวาน และเต็มไปด้วยความรัก ความงามและความรักอันลึกซึ้งเปี่ยมล้นของเทพวีนัสนี้ส่งผลให้คุณมีรอยยิ้มที่น่ารักและจิตใจที่มีเมตตากรุณากับทุกๆคน และมีความรักให้มวลมนุษย์อย่างเหลือเฟือ 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 7


ราศีเมถุน 


ดาวพุธเป็นดาวที่คอยดูแลปกป้องราศีนี้อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ราศีนี้ ได้แก่เทพเมอร์คิวรี่ ผู้มีพรสวรรค์และความสามารถในการประพันธ์ เป็นนายช่าง และมีวาทศิลป์ที่เลอเลิศ คุณจึงได้รับอิทธิพลนี้ทำให้คุณเป็นนักพูด นักเขียน และเป็นผู้รอบรู้ชนิดหาตัวจับยาก 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 4


ราศีกรกฎ 


ดวงจันทร์เป็นดาวที่คอยปกปักรักษาราศีกรกฎ ส่วนเทพผู้พิทักษ์คือ ไดอาน่า เทพธิดาแห่งการล่าสัตว์และเกษตรกรรม ทั้งยังเป็นแม่ของลูกๆจำนวนมากด้วย คุณจึงได้รับอิทธิพลนี้ตนเป็นคนที่จิตใจกว้างขวาง สุขุมเยือกเย็น และมีสัญชาตญาณของเพศแม่อยู่ถึงแม้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 8


ราศีสิงห์ 


ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่คอยปกปักรักษาราศีสิงห์อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ก็คือ เทพอะพอลโล ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเข้มแข็งความหนุ่มความสาว และไฟแห่งชีวิต คุณจึงเป็นผู้หยิ่งทะนง ใจกว้าง และเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง ทั้งยังชอบเป็นจุดเด่น จุดสนใจด้วย 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 3


ราศีกันย์ 


ดาวที่คอยปกป้องดูแลราศีกันย์อยู่คือ ดาวพุธเช่นเดียวกับราศีเมถุน โดยมีเทพเมอร์คิวรี่เป็นเทพเจ้าประจำราศี รวมทั้งนิสัยพื้นฐานของราศีนี้ ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีมารยาทที่งาม สุภาพ เอาจริงเอาจัง พูดเก่ง และเขียนหนังสือได้สวย 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 0


ราศีตุลย์ 


ดาวที่คอยปกป้องดูแลราศีตุลย์นี้เช่นเดียวกับราศีพฤษภคือ ดาวพุธ เทพวีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาประจำดาวพุธนี้ได้มีอิทธิพลในด้านความงามและความรักต่อชาวตุลย์ ทำให้ชาวตุลย์เกลียดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม และยังมีจิตใจเที่ยงธรรม รักษาสมดุลของสิ่งของต่างๆได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 6


ราศีพิจิก 


ดาวที่คอยปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือ ดาวพลูโต มีเทพพลูโตเทพแห่งความลี้ลับ และซ่อนเร้นคอยพิทักษ์อยู่ คุณจึงได้รับอิทธิพลเหล่านี้ทำให้เป็นคนพูดน้อยไม่แสดงตัวมักเก็บความเร่าร้อนไว้ภายใน แต่มีเสน่ห์ดึงดูดอันเร้นลับน่าพิศวง 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 5


ราศีธนู 


ดาวที่คอยปกปักรักษาราศีของคุณอยู่คือ ดาวพฤหัส โดยมีจูปิเตอร์เป็นเทพคอยพิทักษ์อยู่ เทพจูปิเตอร์เป็นเทพแห่งความรอบรู้และพรสวรรค์ทั้งมวล คุณจึงได้รับอิทธิพลให้เป็นคนรักอิสระ ทำอะไรตามใจชอบและมีความสามารถรอบตัวทีเดียว 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 1


ราศีมังกร 


ดาวที่คอยปกปักรักษาราศีมังกรอยู่ก็คือดาวเสาร์ ส่วนเทพผู้คอยพิทักษ์ดูแลคือเทพแห่งกาลเวลา เทพคลอนุส คุณจึงได้รับอิทธิพล ทำให้เป็นคนที่เที่ยงตรงไม่หักโหม มีเหตุมีผล และใช้ชีวิตอย่างถูกต้องคุ้มค่า 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 2


ราศีกุมภ์ 


คุณมีดาวยูเรนัสเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่ และมีเทพยูเรนัสเทพเจ้าแห่งความรอบรู้เป็นเทพผู้คอยพิทักษ์ คุณจึงได้รับอิทธิพลดังกล่าวนี้ ทำให้เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชนิดที่ไม่มีใครจะคาดคิดได้ถึงและเป็นผู้มีความคิดแปลกๆใหม่ๆล้ำหน้าอยู่เสมอ 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 5


ราศีมีน


ดาวที่คอยปกป้องดูแลราศีมีนคือ ดาวเนปจูน มีเทพผู้พิทักษ์ซึ่งมีอิทธิพลทำให้ชาวมีนเป็นผู้ที่เร้นลับ ในขณะเดียวกันก็ทรงพลังอำนาจ ไวต่อความรู้สึกและรับรู้กระแสจิตวิญญาณได้ดี 
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 6

การแต่งบ้านตามราศีเกิด


การแต่งบ้านตามราศีเกิด 


เป็นเหมือนสีสันสำหรับการอยู่อาศัยที่หลายคนสนใจ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่มีความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้บ้านใหม่ หรือห้องโปรดของคุณสะท้อนความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย






ชาวราศีเมษ บ้านของชาวราศีเมษจะไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เรียบง่าย สะดุดตา เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นสง่า ภายในบ้านจะมีความโปร่งโล่งเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น เพราะชอบความเป็นอิสระ เป็นคนใจร้อน ถ้ามีของเยอะจะรู้สึกเกะกะ โทนสีที่นิยมคือ สีออกเหลืองนวลขาว หรือสีแดงของไม้มะค่า ลักษณะเด่นเป็นผู้ใฝ่รู้ จึงต้องมีห้องหนังสือ และชั้นวางหนังสือเป็นสัดส่วน


ชาวราศีพฤษภ สไตล์การแต่งบ้าน จะออกเรียบๆ สบายๆ เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่แสดงถึงความอัครฐานและบ่งบอกถึงฐานะ ลักษณะของห้องต่างๆ จะถูกออกแบบให้เป็นไปตามการใช้งานจริง และภายในห้องจะต้องมีสิ่งที่จำเป็นอยู่ครบถ้วน ส่วนของตกแต่ง มักจะเป็นงานศิลปะ สีที่นิยม สีทอง สีแดง สีเลือดนก


ชาวราศีมิถุน บ้านจะโปร่งโล่งให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือมีโคมไฟหลายๆ จุด เพื่อให้ความสว่าง บ้านถูกออกแบบให้มีมุมทำกิจกรรมหลายมุม ชอบการต้อนรับ ชาวราศีนี้จึงให้ความสำคัญกับบริเวณหน้าบ้าน ห้องรับแขก และห้องครัว ชื่นชอบในงานศิลปะ และความงามของเฟอร์นิเจอร์เน้นความทันสมัย แปลกตา สีที่นิยม สีเขียว สีฟ้า


ชาวราศีกรกฎ ชาวราศีนี้เป็นผู้ที่ชอบพบปะผู้คนและมีมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ การสร้างบ้านตลอดจนการตกแต่งจึงไม่เพียงเพื่อความสุขกายสบายใจของตนเองและครอบครัว แต่ยังคำนึงถึงผู้อื่นด้วย ชอบงานศิลปะ เครื่องดนตรี จึงมักพบเห็นสองสิ่งนี้เป็นของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์เน้นความสะดวกสบาย เครื่องเรือนสามารถจัดเก็บของได้มาก สีที่นิยมใช้คือ สีเหลือง สีขาว สีฟ้า และสีออกโทนส้ม





ชาวราศีสิงห์ เป็นผู้ที่ชอบทำงาน ชอบใช้สมองตลอดเวลา จึงต้องมีห้องทำงาน เน้นบ้านที่แข็งแรงมั่นคง เพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงจิตใจ บ้านกว้างใหญ่ไว้อวดผู้มาเยือน ส่วนเฟอร์นิเจอร์นิยมความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานหนักได้ พื้นห้องมักจะเป็นหินอ่อน หินแกรนิต สีที่นิยมใช้ คือสีในวรรณะร้อน คือสีแดง สีส้ม สีแสด และสีที่แลดูโปร่ง เช่น สีขาวนวล สีขาวอมส้ม


ชาวราศีกันย์ ลักษณะเด่นมีความเป็นแม่ศรีเรือน เป็นพ่อบ้าน มักให้ความสำคัญกับห้องครัวเป็นพิเศษ ต้องมีอุปกรณ์ครบถ้วน เป็นคนที่รักครอบครัว ชื่นชอบของเก่า การแต่งบ้านต้องมีการแบ่งสัดส่วนภายในอย่างชัดเจน ควรมีความโล่งโปร่งมากๆ เพราะให้ความสำคัญกับการทำงานจึงมักไม่ค่อยมีเวลาดูแล เฟอร์นิเจอร์ต้องแข็งแรงทนทาน ถ้าเป็นของเก่าที่ตกทอดกันมาจะยิ่งชอบมาก สีที่นิยม คือ สีเขียว สีแสด สีม่วง สีเทา และสีฟ้า


ชาวราศีตุล ลักษณะเด่นชาวราศีนี้คือ มีงานอดิเรกในการวาดภาพ และสะสมภาพ บ้านจึงเน้นผนังทึบไว้ติดงานเหล่านี้ หรือมีมุขทำงานศิลปะโดยเฉพาะ ห้องนอนมีเตียงสวยๆ บ้านมีความเนี้ยบเป็นระเบียบ เพราะอุปนิสัยเป็นคนประณีต ชอบความหรูหรา เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต้องประณีตเรียบร้อย หากเป็นภาพ แผนที่ หรือลูกโลกประดับในบ้านจะชอบมาก เพราะชอบเดินทาง สีที่นิยมคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน สีดำ


ชาวราศีพิจิก ชาวราศีนี้คือใส่ใจกับห้องน้ำเป็นพิเศษ หากเลือกได้ห้องน้ำต้องเป็นห้องที่กว้างใหญ่ สวยงาม อุปกรณ์ครบครัน มีความสว่างที่เพียงพอ เกือบจะเป็นห้องนอนห้องที่สองเลยทีเดียว อุปนิสัยเป็นคนลึกลับและมีสัญชาตญาณในการปกป้องตัวเองสูง วิตกกังวล และรักสันโดษ ทำให้บ้านมีลักษณะแปลกตา เฟอร์นิเจอร์มีรูปทรงที่ทันสมัย หรือไม่ก็เก่าแก่โบราณไปเลย เป็นคนชอบเครื่องเสียง หรือสิ่งที่เป็นไฮเทคโนโลยีทั้งหลาย สีที่นิยมคือ สีเหลืองอ่อนและสีขาว


ชาวราศีธนู เป็นคนที่มีภารกิจยุ่ง วุ่นวาย แม้แต่เวลาจะนอนก็ยังอดไม่ได้ต้องเอางานมาทำด้วย ในห้องนอนจึงต้องมีโต๊ะทำงาน และตู้หนังสือ เป็นนักอนุรักษนิยมชอบความเป็นธรรมชาติ บริเวณบ้าน จึงต้องมีต้นไม้เป็นส่วนประกอบสำคัญ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้มักจะทำจากไม้ และมีขนาดใหญ่ ไม่ชอบความเกะกะ สีที่นิยมใช้คือ สีแสด สีเหลือง และสีชมพู


ชาวราศีมังกร ด้วยอุปนิสัยที่ชอบวิตกกังวลทำให้ต้องมีกระจกเงาบานใหญ่ และยาวพอที่จะส่องเห็น ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เพื่อเพิ่มความมั่นใจเมื่อต้องออกไปพบปะผู้คน ชอบเก็บตัว ระแวดระวัง มีความเป็นส่วนตัวสูง บ้านมักมีรั้วรอบขอบชิด หรือมีม่านหน้าทึบ ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน ห้องนอนต้องสงบและมืดทึบ เฟอร์นิเจอร์คำนึงถึงประโยชน์ในการเก็บทรัพย์สินและสิ่งของได้มาก สีที่นิยมคือ สีดำ สีม่วง หรือสีโทนเข้มๆ


ชาวราศีกุมภ์ ชาวราศีนี้ชอบการพบปะสังสรรค์ มักมีผู้คนไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-เจรจาธุรกิจ ห้องรับแขกจึงควรมีเนื้อที่จัดปาร์ตี้เล็กๆ ตัวบ้านเน้นความสวยงาม คนชอบเล่นกีฬาชอบออกกำลังกาย และชอบฟังดนตรี บริเวณบ้านจึงมักมีส่วนเพื่อออกกำลังกาย และมีมุมฟังดนตรี เฟอร์นิเจอร์เน้นความสวยงามของรูปทรงและสีสัน สีที่นิยม สีน้ำเงิน สีฟ้า และสีเขียว


ชาวราศีมีน รอบๆ บ้านมักมีตุ่มใส่น้ำ บ่อเลี้ยงปลา อ่างบัว ตรงกับสัญลักษณ์ของเจ้าราศี ที่เป็นรูปปลา เป็นคนรักสบาย รักความเป็นอิสระ บ้านมีความเด่นชัดที่ความเรียบง่าย ดูสบายๆ แต่ทันสมัยตามยุค ชอบความโล่ง ไม่ยึดติด เฟอร์นิเจอร์มักเป็นแบบที่ประยุกต์ไปใช้งานได้หลายอย่าง ในห้องน้ำมักจะมีอ่างอาบน้ำเพื่อสร้าง ความเย็นกาย เย็นใจให้ สีที่นิยมคือ สีเขียว สีฟ้า และม่วงอมคราม ราศีใดตรงกับความเป็นตัวตนของคุณก็เลือกแต่งได้เลยตามความพอใจ



วันวิทยาศาสตร์ แห่งชาติ


ประวัติ วันวิทยาศาสตร์ แห่งชาติ 


          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทย ในที่สุดพระองค์ทรงได้ค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า "ปฏิทินปักขคณนา" (ปักขคณนา คือ วิธีนับปักข์หรือรอบครึ่งเดือนของข้างขึ้นข้างแรม เป็นวิธีนับที่แม่นยำสูง) และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ทำปฏิทินจันทรคติพระทุกปี แทนปฏิทินฆราวาส ขณะเดียวกันพระองค์ได้ทรงค้นคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดานไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อจะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ และมีชื่อเรียกว่า "กระดานปักขคณนา" ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสาเหตุที่จุดประกายให้พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในวิชาดาราศาสตร์อย่างจริงจัง 


          ในพระราชฐานของพระองค์ ทั้งที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดจะมีหอดูดาว โดยเฉพาะหอชัชวาลเวียงชัย ในบริเวณพระนครคีรีหรือเขาวัง พระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป ดังนั้นหอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลา พระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2395 โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์ 




  
วันวิทยาศาสตร์


          ต่อมาใน วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชจากท่านิเวศวรดิษฐ์ไปยังบ้านหว้ากอ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (รัชกาลที่ 5) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา กับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชบริพารจำนวนมาก ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวนของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 


          โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด คือ ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึง ปราณบุรี และลงไปถึง จังหวัดชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อถึงวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว 


          ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เซอร์แฮรี ออด ได้ทำการบันทึกเหตุการณ์ไว้ และเมื่อ พ.ศ.2518 หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้ทำการแปลเป็นภาษาไทยในงานหว้ากอรำลึก ณ ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพมหานคร ว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกถ้วนที่สุด ถูกถ้วนยิ่งกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้" 






          ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงรับเอาศิลปวิทยาการ และความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์  

         ทั้งนี้ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีแนวคิดว่าน่าจะถือเอาวันที่ 18 สิงหาคม เป็น วันวิทยาศาสตร์ ไทย ต่อมาวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ   


          ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ  


          นอกจากนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2527 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 18 - 24 สิงหาคม โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการต่างๆ จนได้รับความสนใจทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความสำคัญ ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2528 คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เป็นประจำทุกปี ระหว่าง วันที่ 18 - 24 สิงหาคม  









  วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ  


          1. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"  


          2. เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิถีทางหนึ่งของการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคน ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 


          3. เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงาน การค้นคว้า วิจัย ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ  


          4. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าภาครัฐและเอกชน ในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ  


          5. เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจและโอกาสแก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ได้แสดงผลงานต่อสาธารณชน 




  กิจกรรมที่ควรปฏิบัติใน วันวิทยาศาสตร์ แห่งชาติ 


          - ร่วมพิธีวางมาลาและเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  


          - จัดนิทรรศการเผยแพร่ พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  


          - จัดกิจกรรมส่งเสริมงานด้านวิทยาศาสตร์ และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ 

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทย์เลอร์ สวิฟต์ : Taylor Swift





 เทย์เลอร์ อลิสัน สวิฟต์ (อังกฤษ: Taylor Alison Swift)

เกิดวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989
เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง แนวคันทรี-ป็อปชาวอเมริกัน ในปี 2006 
สวิฟต์ปล่อยอัลบั้ม Taylor Swift ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของเธอเอง สามารถติดบิลบอร์ด 200 สูงสุดในอันดับที่ 5 อัลบั้มที่สองของสวิฟต์ Fearless ออกจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2008 ติดชาร์ท อันดับ 1 ในบิลบอร์ด 200 ถึง 11 สัปดาห์

ชีวิตช่วงแรก

สวิฟต์ เกิดที่เมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย สก็อต 
บิดาเป็นนักลงทุนในตลาดทรัพย์
ส่วน แอนเดรีย สวิฟต์มารดาเป็นแม่บ้าน 
สวิฟต์มีน้องชายหนึ่งคนชื่่อ ออสติน ตอนเรียนอยู่เกรด 4 
สวิฟต์ส่งกลอนความยาว 3 หน้ากระดาษชื่อ "Monster In My Closet" เข้าประกวดในการแข่งขันการแต่งกลอนระดับชาติและได้รับรางวัลชนะเลิศ สวิฟต์เริ่มเขียนเพลงครั้งแรกตอนอายุ 10 ปีเพื่อใช้ในการเข้าประกวดร้องคาราโอเกะระดับท้องถิ่นที่จัดขึ้นในงานเทศกาลต่างๆ

ชีวิตส่วนตัว

ในปี 2008 สวิฟต์ได้มีความสัมพันธ์กับ โจ โจนาส หนึ่งในนักร้องวงดนตรีโจนาสบราเทอร์ส แต่ก็ได้เลิกลากันในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน สวิฟต์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ในรายการ "The Ellen DeGeneres Show" หนึ่งในรายการซิทคอมที่โด่งดังที่สุดในอเมริกาว่า เธอกับโจนาสเลิกกันทางโทรศัพท์ภายในเวลาเพียงแค่ 27 วินาที หลังจากนั้นเธอก็ได้แต่งเพลง "Forever & Always" ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่เธอเลือกที่จะใส่ไว้ในอัลบั้มเฟียร์เลส

อาชีพทางดนตรี

ความสนใจในการแต่งเพลง

สวิฟต์หัดเล่นกีตาร์จากการสอนของช่างซ่อมคอมพิวเตอร์คนนึง หลังจากที่เล่นกีตาร์ได้คล่องแล้ว สวิฟต์ก็ได้เขียนเพลง "Lucky You" ซึ่งเป็นเพลงแรกที่เธอเคยเขียน หลังจากนั้นมาเธอก็ได้เขียนเพลงเป็นกิจกรรมยามว่างและใช้เป็นช่องทางการระบายความเหงา ความเจ็บปวดจากการที่เธอไม่ค่อยมีเพื่อนในโรงเรียนมัธยมต้น

ช่วงแรก

การร้องเพลงของสวิฟต์ได้รับอิทธิพลมาจากคุณยายของเธอ ซึ่งเป็นนักร้องโอเปรา และนักร้องคันทรีสาวลีแอน ไรมส์ เมื่ออายุ 11 ปี สวิฟต์เดินทางไปยังแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี และได้เสนอเดโมเทปต่อค่ายเพลงต่างๆโดยหวังว่าได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงสักแห่งที่นั่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ในปีต่อมา สวิฟต์เริ่มเขียนเพลงอีกครั้ง และเริ่มหัดเล่นกีตาร์ นอกจากนี้ เธอยังเดินทางไปแนชวิลล์อีกหลายครั้งเมื่อมองหาโอกาส จนกระทั่งครอบครัวของเธอตัดสินย้ายบ้านไปยังย่านชานเมืองแนชวิลล์ สวิฟต์ได้รับข้อเสนอจากสังกัดอาร์ซีเอเรคคอร์ดสตอนเธออายุ 15 ปี แต่เธอปฏิเสธเนื่องจากอาร์ซีเอไม่ยอมไห้เธออัดเพลงของตัวเธอเอง ต่อมา สวิฟต์ได้มีโอกาสไปเล่นที่ "The Bluebird Caf?" สก็อต เบอเชตตา สนใจเธอและชักชวนให้เธอเซ็นสัญญากับบิ๊กแมกชีนเรคคอร์ดส ส่วนต้นสังกัดปัจจุบันคือ Universal Music
2006–2007 : อัลบั้มแรกในชีวิต "Taylor Swift"


สวิฟต์ระหว่างแสดงในคาเฟ่เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2006
สวิฟต์ออกอัลบั้มแรกของตัวเอง Taylor Swift ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 ขายในสัปดาห์แรก 40,000 อัลบั้ม ติดชาร์ทอัลบั้มเพลงคันทรีที่อันดับ 1 ในส่วนของชาร์ทบิลบอร์ด 200 ติดอันดับสูงสุดที่อันดับ 5 และเป็นอัลบั้มที่ติดชาร์ทนี้ยาวนานที่สุดในทศวรรษ โดยอัลบั้มนี้มีซิงเกิ้ลฮิต 5 ซิงเกิ้ลที่ติดชาร์ทในบิลบอร์ดฮ็อตคันทรีซอง เธอออกผลงานซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ "Tim McGraw" ที่ขึ้นชาร์ทสูงสุดอันดับ 6 ในชาร์ทบิลบอร์ดคันทรีชาร์ท ทำยอดขายไปเบาะๆ 500,000 แผ่น ซิงเกิ้ลที่ 2 กับเพลง Teardrops on My Guitar ทำยอดขายไป 1,000,000 แผ่น และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 2 และ Hot100 อันดับที่ 13 ซิงเกิ้ลที่ 3 กับเพลง Our Song ทำยอดขายไปอีก 1,000,000 แผ่นอีกครั้ง[ต้องการอ้างอิง] แถมติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 1 นานถึง 6 สัปดาห์ และ Hot100 อันดับที่ 16 ซิงเกิ้ลที่ 4 กับเพลง Picture to Burn ทำยอดขายไปอีก 500,000 แผ่น และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 3 และ Hot100 อันดับที่ 28 ซิงเกิ้ลที่ 5 ปิดอัลบั้ม กับเพลง Should've Said No ทำยอดขายไปอีก 500,000 แผ่น[ต้องการอ้างอิง] และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 1 และ Hot100 อันดับที่ 33
สรุปอัลบั้มแรกทำยอดขายทั้งอัลบั้มมียอดขายระดับ 3 แผ่นเสียงทองคำขาว จาก RIAA เดอะนิวยอร์กไทม์ส พูดถึงสวิฟต์ว่า"เธอเป็นหนึ่งในนักแต่งเพลงป็อปที่ดีที่สุด เป็นนักสร้างสรรค์ผลงานแถวหน้า และเข้าถึงชีวิตข้างในของเธอเองมากกว่าใครอื่น"ในปี 2007 ก็ปล่อย EP Album ชื่อว่า Sounds of the Season: The Taylor Swift Holiday Collection ก็ขายดีอีก ติดชาร์ต Billboard 200 อันดับสูงสุดที่ 46 และชาร์ตอัลบั้มคันทรี่ที่อันดับ 14 และก็ถึงฤดูล่ารางวัลในปี 2007 เธอได้รับรางวัลจากเวที Country Music Association Awards ได้รางวัล Horizon Award จากเวที CMT Music Awards ได้รางวัล Breakthrough Video of The Year: "Tim McGraw" ในปี 2008 เธอได้รับรางวัลจากเวที Academy of Country Music Awards ได้รางวัล Top New Female Vocalist จากเวที CMT Music Awards ได้ 2 รางวัล คือ Female Video of the Year: "Our Song" และ Video of the Year: "Our Song" จากเวที Teen Choice Awards ได้รางวัล Breakout Artist และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม แต่เธอก็พ่ายแพ้ให้กับความความแรงของเอมี ไวน์เฮาส์ไม่ได้ รางวัลก็เลยตกเป็นของ Amy ไป

2008–2009 : Fearless

สวิฟต์ออกอัลบั้ม EP ที่มีชื่อว่า "Beautiful Eyes" ติดชาร์ทบิลบอร์ด 200 อันดับ 9 และอัลบั้มเพลงคันทรีอันดับ 1
อัลบั้มล่าสุด Fearless เธอก็ได้ทำสถิติอีกครั้ง ตั้งแต่เริ่มวางแผงด้วยการวางแผงวันแรกก็ขายไป 217,000 แผ่น และยอดขายรวมสัปดาห์แรกน่าจะขายได้ถึง 592,304 แผ่น อัลบั้มนี้เธอลงมือแต่งเพลงเองทุกเพลง และมีส่วนร่วมในการการโปรดิวด้วย นักวิจารณ์ต่างยกย่องอัลบั้มนี้ว่า เป็นอัลบั้มเพลงป๊อบที่ดีที่สุดในปี 2008 เปิดอัลบั้มล่าสุดกับเพลง Change ติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 57 ชาร์ต และ Hot100 อันดับที่ 10 ซึ่งเพลงใช้ประกอบโอลิมปิกล่าสุดนี้ด้วย ซิงเกิ้ลแรกเปิดอัลบั้ม Love Story ก็ทำยอดดาวน์โหลดไป 4,000,000 ครั้ง[ต้องการอ้างอิง] และติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 1 ชาร์ต และ Hot100 อันดับที่ 4 ซิงเกิ้ลที่ 2 White Horse ทำยอดดาวน์โหลดไป 1,000,000 ครั้ง ติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 2 ชาร์ต และ Hot100 อันดับที่ 13 ซิงเกิ้ลที่ 3 You Belong with Me ทำยอดดาวน์โหลดไป 2,167,000 ครั้ง[ต้องการอ้างอิง] ติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 1 ชาร์ต และ Hot100 อันดับที่ 2 และ Hot100 Airplay ที่อันดับ 1 สวิฟต์กลายเป็นนักร้องคันทรีคนแรกที่ติดอันดับ 1 ในชาร์ท Hot100 Airplay ซิงเกิ้ลที่ 4 Fifteen ติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ที่อันดับ 7 ชาร์ต Hot100 อันดับที่ 23 และซิงเกิ้ลนี้โรลลิ่งสโตนให้อันดับที่ 46 ซิงเกิ้ลที่ดีที่สุดในปี 2008 และปล่อยอื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นเพลง Fearless ทำยอดดาวน์โหลดไป 500,000 ครั้ง ติดอันดับ Hot100 ที่อันดับ 9 ซึ่งตัดเป็นซิงเกิ้ลที่ 5, You're Not Sorry ติดอันดับ Hot100 ที่อันดับ 11 ด้วยความแรงของอัลบั้มชุดนี้เทย์เลอร์ได้ออกปกใหม่เป็นแบบแพตินั่ม ซึ่งเพิ่มเพลงใหม่อีก 6 เพลง ก็สามารถติดชาร์ตในทั้งหมด 6 เพลง ไม่ว่าเป็นเพลง Jump Then Fall ในอับดับที่ 10 และเพลงที่ถูกเอาไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Valentine's Day ที่เธอร่วมแสดงอีกด้วย, เพลง Untouchable ในอับดับที่ 19, เพลง The Other Side of the Door ในอับดับที่ 22, เพลง Super Star ในอับดับที่ 26, เพลง Come in with the Rain ในอับดับที่ 30 และเพลง Forever & Always (Piano Version) ในอับดับที่ 34 ล่าสุดอัลบั้มชุด Fearless ทำยอดขายในอเมริกาไป 5,366,566 แผ่น และทั่วโลก 6,626,500 แผ่น

จากการสำรวจของนีลเซ็นซาวด์สแกน สวิฟต์เป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดของปี 2008 ในอเมริกา ด้วยยอดขายรวมกัน 4 ล้านชุด อัลบั้มชุด Fearless และ ผลงานอัลบั้มในชื่อของเธอเองติดอันดับ 3 และ 6 ตามลำดับ ด้วยยอดขาย 2.1 และ 1.5 ล้าน[3] เธอยังเป็นศิลปินคนแรกในประวัติศาสตร์จากการสำรวจของนีลเซ็นที่มีอัลบั้ม 2 อัลบั้มติดท็อป 10 ในการจัดอันดับ

2010–ปัจจุบัน: ผลงานภาพยนตร์ครั้งแรกและสตูดิโออัลบั้มที่ 3
"Today Was a Fairytale" เพลงที่สวิฟต์แต่งขึ้นเป็นออริจัลซาวน์แทรคเรื่อง "Valentine's Day" เปิดตัวติดชาร์ทบิลบอร์ดฮอต 100 ที่อันดับ 2 และชาร์ทเพลงแคนดาที่อันดับ 1 ถือว่าเป็นเพลงในเพลงแรกในแคนดาที่เปิดตัวอันดับ 1 นับตั้งแต่ "Crack a Bottle" ของ"Eminem" ในปี 2008 นอกจากนี้เพลงนี้ยังมียอดดาวน์โหลด 325,000 ครั้ง ทำลายสถิติ "วูแมนไนเซอร์" ของบริตนีย์ สเปียรส์จากยอดขายเพลงสัปดาห์โดยนักร้องหญิง

ปัจจุบันสวิฟต์กำลังทำอัลบั้มที่ 3 ของตัวเองที่มีชื่อว่า "Speak Now" โดยจะออกจำหน่ายวันที่ 25 ตุลาคมนี้ ส่วนซิงเกิลแรก "Mine" จากการที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเปิดตัวเพลงนี้ในวันที่ 16 สิงหาคม กลับกลายต้องมาเลื่อนเป็นวันที่ 4 สิงหาคมแทน หลังจากเพลงนี้ได้กระจายลงสู่ทางอินเทอร์เน็ตก่อนวันออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

การปล่อยซิงเกิ้ลจาก Itunes เพื่อนับถอยหลังการวางขายของ Speak Now

เทย์เลอร์ได้มีการปล่อยซิงเกิ้ลใหม่จากอัลบั้ม Speak Now ทุกอาทิตย์ตลอดเดือนตุลาคมปี 2010 จนถึงวันที่ 25 ตุลาคมที่เป็นวันที่ Speak Now ออกวางขายเป็นวันแรก โดยจะมีการปล่อยพรีวิวเพลง 30 วินาที รวมถึงคลิปสั้นๆจากเทย์เลอร์ที่บอกที่มาของซิงเกิ้ลนั้นๆทาง Comcast On Demand และ XfinityTv.com หลังจากนั้นวันถัดมาจึงจะปล่อยซิงเกิ้ลขายใน Itunes โดยปล่อยทั้งพรีวิวและเพลงเต็มออกมาในเวลาเดียวกันของแต่ละวันคือ 12.01 AM หรือเที่ยงคืนหนึ่งนาทีตามเวลาของอเมริกา โดยมีการปล่อยซิงเกิ้ล 3 เพลง ดังนี้
4 & 5 ตุลาคม: “Speak Now”
11 & 12 ตุลาคม: “Back To December”
18 & 19 ตุลาคม: “Mean”
ผลงานเพลง
สตูดิโออัลบั้ม
Taylor Swift (2006)
Fearless (2008)
Speak Now (2010)

ผลงานการแสดง

ปี

2007: "Online"มิวสิกวิดีโอของแบรด เพสลีย์

2008: MTV's Once Upon a Prom CMT Crossroads สวิฟต์ และ เดฟ เล็พพาร์ด แสดงด้วยกันเป็นครั้งแรก

2009: Jonas Brothers: The 3D Concert Experience 3D Concert film
        CSI: Crime Scene Investigation เฮลีย์ โจนส์ ตอน "Turn,       Turn, Turn"
          "Best Days of Your Life" - มิวสิกวิดีโอของเคลลี พิคเลอร์
         Hannah Montana: The Movie Woman singing in the barn
2010:Valentine's Day เฟลิเซีย แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องย่อ Transformersภาค 1-3



ภาค 1
Transformers : สงครามวันหุ่นยนต์ล้างโลก

กำหนดฉาย : 28 มิถุนายน 2550 
ประเภท : แอ็คชั่น / ไซไฟ  
นำแสดง : Shia LaBeouf, Travis Van Winkle, Josh, Duhamel, Jon Voight, Megan Fox 
กำกับ : ไมเคิล เบย์ (Michael Bay)


เรื่องย่อ


          ภาพยนตร์แอ็คชั่น ไซไฟ อภิมหาสงครามที่คนดูทั่วโลกรอคอย TRANSFORMERS ที่หลายคนรู้จักว่ามันคือ หุ่นยนต์ที่แปลงร่างได้นั้น ได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ทุ่มทุนสร้างสูงที่สุด พร้อมเทคนิคภาพเต็มสตรีม เพื่อให้สมกับเป็นแอ็คชั่นไซไฟที่ทั่วโลกรอคอย จากฝีมือการกำกับของไมเคิล เบย์ ที่กำกับภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง The Rock และ Armageddon 


          ภาพยนตร์เรื่อง TRANSFORMERS เป็นมหันตภัยร้ายแรงอีกครั้งที่โลกต้องเผชิญกับสงครามที่น่ากลัวที่สุดที่อุบัติขึ้นจากอภิมหาสงครามระหว่างกาแล็คซี่ของหุ่นยนต์สองเชื้อชาติ มันคือสงครามล้างผลาญครั้งใหญ่ของหุ่นยนต์ฝ่ายธรรมะและอธรรมที่มีเทคโนโลยีเหนือล้ำกว่าหุ่นยนต์ทั่วไปที่เรารู้จัก นั่นคือความสามารถพิเศษในการแปลงรูปร่างเป็นสิ่งต่างๆ ได้เช่น รถ เครื่องบิน และเครื่องจักรกลไฮเทคต่างๆ  ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือ พวกมันมีเป้าหมายในการยึดครองโลกซึ่งยังมีแหล่งพลังงานที่สำคัญกับเผ่าพันธุ์ของมัน ทำให้โลกต้องตกอยู่ในวังวนของอภิมหาสงครามนี้ และต้องเผชิญหน้ากับหายนะใหญ่หลวงกว่าวิกฤตการณ์ครั้งไหนๆ ที่เราเคยเจอ



ภาค 2
อภิมหาสงครามแค้น (ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส)




กำหนดฉาย : 23 มิถุนายน 2552 (ตั้งแต่รอบ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป)
นักแสดง : ไชอา ลาบัฟ (Shia LaBeouf), มีแกน ฟอกซ์ (Megan Fox), จอช ดูลฮาเมล (Josh Duhamel), ไทรีส กิ๊ปสัน (Tyrese Gibson)
กำกับ : ไมเคิล เบย์ (Michael Bay)




เรื่องย่อ


          สองปีผ่านไป  นับแต่หนุ่มน้อย แซม วิทวิคกี้ (ไชอา ลาบัฟ) ได้ช่วยจักรวาลให้รอดพ้นจากศึกขั้นเด็กขาดระหว่างหุ่นยนต์จากต่างดาวที่กำลังสู้รบกันอยู่ แม้จะสร้างวีรกรรมอันกล้าหาญสุดขั้วมาแล้ว แต่แซมยังคงเป็นวัยรุ่นธรรมด๊าธรรมดาที่มีปัญหาว้าวุ่นใจไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย การต้องทิ้ง มิเกล่า (เมแกน ฟ็อกซ์) แฟนสาวของเขาเอาไว้ที่บ้านเกิด และต้องแยกห่างจากพ่อแม่ของเขา (เควิน ดันน์ และ จูลี่ ไวท์) เป็นครั้งแรก แน่นอน ยังมีเรื่องหนักใจอื่นๆ อีกเมื่อแซมต้องพยายามอธิบายให้เพื่อนใหม่ของเขาฟังว่าทำไมเขาถึงต้องจากมา เพื่อนคนใหม่ที่ว่าก็คือหุ่นยนต์ที่คอยคุ้มครองดูแลเขาอย่างบัมเบิลบี สำหรับแซมแล้ว เป้าหมายของเขาก็คือการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเด็กนักศึกษาธรรมดาๆ แต่การจะทำตัวให้ธรรมดาได้ เขาต้องทำเป็นไม่สนโชคชะตาของตัวเขาเองเสียก่อน

          ขณะที่แซมพยายามทำดีที่สุดเพื่อทิ้งปัญหาต่างๆ เอาไว้ที่มิสชั่นซิตี้ และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ อย่างไรก็ดี สงครามระหว่างพวกออโต้บ็อทส์ กับดีเซ็ปติคอนส์ ซึ่งดำเนินไปอย่างลับๆ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย เซ็คเตอร์ 7  ถูกยุบไป และ เจ้าหน้าที่ซิมม่อนส์ (จอห์น เทอร์เทอร์โร่) นายทหารผู้ภักดีกับเซ็คเตอร์ 7 ถูกไล่ออก และที่ถูกตั้งขึ้นมาแทนที่ก็คือเนสท์ (NEST) องค์กรใหม่ ซึ่งเลือกใช้งานนายทหารผู้มีประสบการณ์ภาคสนามอย่าง เลนน็อกซ์ (จอช ดูฮาเมล) และ เอ็ปป์ส (ไทรีส กิ๊บสัน) พยายามหาวิธีทำงานเคียงข้างไปกับกลุ่มออโต้บ็อทส์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกดีเซ็ปติคอนส์

          โชคร้ายที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ธีโอดอร์ กัลโลเวย์ (จอห์น เบ็นจามิน ฮิคกี้) เหมือนจะเล็งเห็นถึงอันตราย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยึดครองอำนาจควบคุมขององค์กรทุกหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม รวมไปถึงอำนาจของแต่ละองค์กรเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็จะได้กำจัดหน่วยงานรัฐบาลที่เขาเห็นว่าไม่มีความสำคัญทิ้งไป กัลโลเวย์จึงพยายามปิดเนสท์ทิ้ง โดยเขาเชื่อว่าภัยคุกคามจากสงครามที่สร้างความวอดวายของกลุ่มหุ่นยนต์ต่างดาวสองกลุ่มนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาเชื่อว่ามนุษย์ไม่สนใจในความขัดแย้งที่ออโต้บ็อทส์มีต่อพวกดีเซ็ปติคอนส์

          เมื่อชีวิตของแซมในที่เรียนใหม่เริ่มเข้าที่เข้าทาง โดยเขาสามารถปรับตัวเข้ากับ ลีโอ (ราม่อน ร็อดริเกซ) เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ที่เป็นจอมจุ้นจ้าน และ อลิซ (อิซาเบล ลูคัส) เพื่อนสาวคนใหม่ที่จุ้นพอกัน แต่พอดีเป็นผู้หญิงเลยน่าสนใจกว่า จู่ๆ แซมก็เกิดความว้าวุ่นขึ้นอีกจนได้เมื่อเขาเห็นภาพที่แว่บขึ้นมาในหัวของเขาราวกับสายฟ้าแล่บ ด้วยความหวาดกลัวว่าเขาอาจกำลังวิกลจริตเหมือนปู่ของเขา แซมจึงเก็บภาพที่เขาเห็นในหัวเอาไว้เป็นความลับ จนกระทั่งเขาไม่อาจทนเมินเฉยต่อข้อความและสัญลักษณ์ที่แทรกซึมเข้าไปในความคิดของเขาได้ 

          ถึงจะวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่แซมพบว่าเขาต้องไปติดอยู่กลางศึกระหว่างออโต้บ็อทส์และดีเซ็ปติคอนส์โดยมีชะตากรรมของจักรวาลเป็นเดิมพันอีกเช่นเคย แต่ที่แซมยังไม่รู้ก็คือเขาคือผู้กุมกุญแจที่จะไขไปสู่ผลลัพธ์ของการทำศึกระหว่างความชั่วและพลังแห่งความดี ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ รวมไปถึงเพื่อนที่เนสท์ และแม้กระทั่งพ่อกับแม่ของเขาเอง ในที่สุด แซมก็ได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นวิทวิคกี้ที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด เขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวเองจากคำขวัญประจำตระกูลที่ว่า "ไม่เสียสละ ชัยชนะไม่เกิด!" อีกต่อไป




ภาค 3
Transformers: Dark of the Moon

ภาคนี้ได้รับการกล่าวขานว่าน่าจะเป็นภาคที่ดีที่สุดของภาพยนตร์ในชุดทรานฟอร์เมอร์ทั้งหมดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรืองานสร้างโดยเฉพาะสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ต่างๆที่รับรองได้ถึงความมันส์และสมจริงอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าดูในระบบ 3D ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในเรื่องความมันส์ ในเรื่องของเทคโนโลยีทรานฟอร์เมอร์ 3 ก็ถือว่าไม่แพ้ภาพยนตร์เรื่องไหนในยุคปัจจุบัน ในส่วนของนักแสดงของทรานฟอร์เมอร์ 3 อาจจะทำให้แฟนๆของภาคที่แล้วเสียดายกันเล็กน้อยที่ไม่มีนางเอกสาวสวยสุดเซ็กซี่ Megan Fox มาร่วมแสดงแต่ว่าก็ได้ Rosie Huntington-Whiteley สาวสวยอีกคนที่เซ็กซี่ไม่แพ้กันมารับบทบาทที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในภาคนี้เป็นคนรักใหม่ของพระเอก Shia LaBeouf ที่ยังมารับบทเป็น”แซม”เช่นเดิมเหมือน 2 ภาคที่ผ่านมา และยังมีนักแสดงชั้นนำอย่าง Josh Duhamel, John Turturro, Tyrese Gibson ร่วมแสดงด้วย และแน่นอนว่าต้องมีตัวละครใหม่ๆหุ่นยนต์ตัวใหม่ออกมาให้ได้ตื่นตะลึงกันอย่างแน่นอน

สำหรับทีมงานยังคงนำโดยผู้กำกับ Michael Bay เช่นเดิม เช่นเดียวกับ Steven Spielberg พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดก็ยังนั่งแท่นในตำแหน่ง Executive Producer เหมือนเช่นสองภาคที่แล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีทีมงานระดับคุณภาพอีกมากมายที่ร่วมกันสร้างสรรค์ Transformers: Dark of the Moon ด้วยทุนสร้างเกือบ 200 ล้านเหรียญสหรัฐให้ออกมาเป็นสุดยอดภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทั่วโลกต่างเฝ้ารอคอย สุดยอดโปรเจกค์ภาพยนตร์ของสองสตูดิโอยักษ์ใหญ่ DreamWorks และ Paramount Pictures เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จดังเช่นสองภาคที่แล้วหรือไม่อีกไม่นานจะได้รู้กันแล้วครับ ดูเรื่องย่อ ตัวอย่างหนัง และ ข้อมูล Transformers: Dark of the Moon ด้านล่างต่อได้เลยครับ

Shockwave หุ่นยนต์ตัวร้ายในภาคนี้


Shockwave


เรื่องย่อ Transformers: Dark of the Moon
เมื่อเหตุการณ์ลึกลับจากอดีตที่ผ่านมาของโลกนำพาภัยคุกคามมาสู่โลกก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ที่หุ่นยนต์ Transformers เพียงอย่างเดียวมิอาจจะช่วยชีวิตมวลมนุษยชาติได้
Sam Witwicky (แสดงโดย Shia LaBeouf) ก็กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู่ใหญ่อย่างเต็มตัวและกำลังพยายามที่จะทำใจเลิกกับ Mikaela แฟนเก่า ส่วนหุ่น Autobots ก็กำลังยุ่งยากอยู่กับการแข่งขันกับพวกหุ่น Decepticons เพื่อค้นหายานอวกาศจากดาว Cybertron ที่ตกอยู่ที่ดวงจันทร์และเพื่อที่จะค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในยานนี้ ความลึกลับที่ซ่อนอยู่บนดวงจันทร์กว่า 40 ปีนี้จะนำมาซึ่งสงครามครั้งใหญ่ของเหล่าหุ่นยนต์และมวลมนุษยชาติ


ข้อมูลภาพยนตร์ Transformers: Dark of the Moon


วันที่เข้าฉาย : 29 มิถุนายน 2011


ผู้อำนวยการสร้าง : Tom DeSanto, Don Murphy, Lorenzo di Bonaventura, Ian Bryce


ผู้กำกับภาพยนตร์ : Michael Bay


บทภาพยนตร์ : Ehren Kruger


นักแสดงนำ : Shia LaBeouf, Josh Duhamel, John Turturro, Tyrese Gibson, Rosie Huntington-Whiteley, Patrick Dempsey, Kevin Dunn, Julie White, John Malkovich, Frances McDormand


ประเภทหนัง : Action / Adventure / Sci-Fi

ลางบอกเหตุ ตามความเชื่อโบราณ


ลางบอกเหตุ ตามความเชื่อโบราณ


เรื่องทั่วๆไปในทางไม่ดี ห้ามใส่ชุดดำเยี่ยมคนป่วย ชุดสีดำเป็นสีที่คนโบราณถือนักถือหนาว่า เป็นสีแห่งความทุกข์โศก ใช้ใส่เฉพาะงานศพเท่านั้น หรือหากจะใช้แต่งกายสีดำ ก็ไม่ควรเป็นสีดำทั้งชุด ควรเป็นครึ่งท่องใส่ผสมกับสีอื่นๆ ชุดสีดำ จึงไม่นิยมใส่เข้าไปในงานมงคลต่างๆ เช่นงานวันเกิด งาน แต่งงาน หรือแม้กระทั่งไป เยี่ยมผู้ป่วยก็เหมือนกัน เท่ากับว่า เป็นการแช่งหรือ เดาเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ผู้ป่วยนั้นตายเร็วขึ้น ทำให้จิตใจผู้ป่วยหดหู่และหมด กำลีงใจ เกิดอาการทรุดลงได้ง่ายจึงไม่ให้ใช้สีดำ ควรเป็นสีที่สดใสและแสดง ใบหน้าที่สดชื่นอีกด้วย


จิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้าน จิ้งจกในปัจจุบันหาพบได้ง่ายกว่าตุ๊กแก มักจะเกาะอยู่ตามฝาผนัง ของบ้าน โดยปกติทั่วๆ ไป เรามักจะไม่ค่อยได้ยินเสียงจิ้งจกร้องมากนัก จะ เป็นเพราะมีจำนวนน้อย หรือบางบ้านไม่มีให้เห็นเสียแล้ว หรือไม่ค่อยมีเวลาอยู่ บ้านมากนัก จึงไม่ได้ยินเสียงของมัน ตามคำเชื่อของคนโบราณกล่าวว่า หากจิ้งจกร้อทัก จะกี่ครั้งก็ตาม ทว่าเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศรีษะของคุณ ให้พยายามเลื่อนการเดินทาง เป็นเวลาอืน อาจจะเป็นภายในวันเดียวกันก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานั้น เพราะอาจทำให้ คุณได้รับอุบัติเหตุหรือไม่มีโชคลาภ แต่หากเสียงร้องทักอยู่ด้านหน้า หรือซ้าย มือ ให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกสบาย จะได้พบโชค ลาภ หรือติดต่อธุรกิจเป็นผลสำเร็จ


ตุ๊กแกร้องกลางวัน มีเหตุร้าย ตามปกติแล้วตุ๊กแกที่อาศัยอยู่ในบ้าน มักจะร้องตอนกลางคืน แต่ ถ้าวันดีคืนดีเกิดร้องลางวันขึ้นมาไม่ว่าจะร้องกี่ครั้งก็ตาม ให้ถือว่า เป็นการ บอกเหตุร้ายว่า กำลังจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว หรือภายในบ้าน ซึ่งโดย ปกติแล้วตุ๊กแกจะไม่ค่อยร้องในช่วยกลางวันอยู่แล้ว ( กลางวันในที่นี้หมายถึง ตั้งแต่เวลาเริ่มสว่างจนถึงมืดลง ) คนโบราณเชื่อว่าตุ๊กแกคือ ร่างที่วิญญาณของปู่ย่าตายายที่ตายไป แล้วมาอาศัยอยู่ คอยดูแลคุ้มครองเพื่อให้สัญญาณบอกเหตุแก่ลูกหลาน และ จะไม่เคยเห็นตุ๊กแกทำร้ายใครเลย


นกแสกเกาะหลังคาบ้าน เกิดลางร้าย นกแสกเป็นนกที่ถือว่า ให้ความอัปมงคลเป็นอย่างยิ่ง ไม่แต่เฉพาะ คนไทยเท่านั้นที่ถือในเรื่องนี้ฝรั่งเองก็ถือเคล็ดนี้เช่นกัน ก็เพราะโดยธรรมชาติ ของนกแสกมักจะไม่มาปะปนอยู่ตามที่อยู่อาศัยของคนให้เห็นนัก หากเมื่อใดมีนกแสกมาเกาะที่หลังคาบ้านใดแล้ว ก็มักจะมีอะไรไม่ดี แก่บ้านนั้น เช่น คนป่วยเอยคนเจ็บอยู่ก็อาจเสียชีวิตก็ได้ จึงมักจะมีคนนิยมแก้ เคล็ดให้ร้ายกลายเป็นดี ด้วยการนำเอาดอกไม้ ธูปเทียน สุรา บอกเล่าก็เพียง พอแล้ว คนโบราณบางท่านที่เคร่งมากๆ ก็อาจเพิ่มด้วย ข้าวสาร ข้าวตอก ผ้าแดง ผ้าขาวและเงินทอง


นกถ่ายรดศรีษะ จะมีโชคคร้ายยย ปกติแล้วนกนี่มันก็บินไปทั่ว ถ้าไม่ใช่นกเลี้ยง จะชอบมาบินเกาะบน ท้องฟ้า ไม่ชอบมาอยู่กะคนเท่าไหร่และเมื่อใดที่คุณกำลังจะออกเดินทางแล้วจู่ๆ นกก็ถ่ายรดที่ศรีษะ คนโบราณว่าไว้ ให้หยุดการเดินทางทันที หรือเลื่อนกำหนด ออกไปวันรุ่งขึ้น ไม่เช่นนั้น อาจได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุได้ ในกรณีเดียวกัน หากอยู่ในบริเวณบ้าน นกบินมาถ่ายรดศีรษะซึ่ง โอกาสจะมีน้อยมาก แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ให้เตรียมตัวรับเหตุการณ์ได้เลย เพราะจะต้องมีเรื่องเดือดร้อนใจ หรือเกิดเหตุร้ายกะตัวเองแน่นอน ระวังเด้อ....


เมื่อตัวเงินตัวทองคลานเข้าบ้าน บ้านใดที่มีต้นไม้มากๆนั้น จะมีที่ที่ตัวเงินตัวทองมักจะปรากฎให้เห็น ตามที่ดังกล่าว มักจะไม่คลานในที่โล่งแจ้ง และก็หาแหล่งที่มาไม่พบอีกด้วยว่ามา จากที่ใด เพราะในหมู่บ้านกลางเมืองก็ยังมีปรากฎให้เห็นบ้าง ลักษณะตัวเงินตัวทอง บางคนว่าคล้ายจระเข้ แต่มีหางยาวมาก มี ขนาดตั้งแต่ตัวเล็กๆ เท่าจิ้งเหลนจนไปถึงตัวโดมากๆเท่ากับลูกจระเข้เลยทีเดียว ปกติตัวเงินตัวทองนี้จะไม่ทำร้ายใคร แต่คนโบราณท่านว่าเป็นตัว อัปมงคลอยู่ดี จึงมีชื่อเรียกเสียเพราะแก้เคล็ด หากบ้านใดมีเข้ามาให้เห็น ท่านว่า ให้พูดแต่สิ่งดีๆ ไม่ให้ไล่ บางท่านก็ให้หาดอกไม้ธูปเทียนจุดบอกเล่า ให้กลายเป็นการนำเอาสิ่งดีๆ เข้ามาในบ้าน


กลางคืนได้ยินเสียงร้องเรียก ห้ามขานรับ สำหรับบ้านในสมัยโบราณ ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้สะดวกเหมือนในปัจจุบัน ค่ำลงต่างคนก็ต่างดับตะเกียงปิดฟงปิดไฟกันเลย คนโบราณจึงว่าว่า หากปิดบง ปิดบ้านแล้วมีเสียงคนมาร้องเรียก ให้เงียบเสีย เพราะนั่นเป็นเสียงของดวง วิญญาณ อาจจะมาหลอกมาหลอนก็เป็นได้ แต่หากมองกันให้ลึกลงไปอีก อาจเป็นการป้องกันขโมยมาเข้าบ้านใน ยามวิกาลก็เป็นได้ เพราะขโมยอาจมาหลายรูปแบบ บางคนก็ว่า หากมีเสียงเรียก แล้วยังขานรับ จะทำให้วิญญาณนั้นเข้ามาหรือเข้ามาในบ้านได้


เลขนั้นสำคัญฉไหน เลขต่างๆ ตั้งแต่ 1 - 10 หรือแม้กระทั่งเลขเกิน 10 ก็ตามมีความเชื่อ ไปต่างๆกัน บ้างก็เหมือนกันแล้วแต่ความถูกโฉลกของแต่ละบุคคล นั่นเป็นความ เชื่อ เช่น บางคนไม่ชอบเลข 13 เพราะถือเป็นเลขของความโชคร้ายของฝรั่ง ซึ่ง จะสังเกตว่าตามตึกใหญ่สูงๆ ภายในลิฟต์จะไม่มีชั้น 13 เนื่องจากคนก่อสร้างหรือ สถาปนิกเป็นฝรั่งจ้า เค้าว่ากันว่าทะเบียนเลขรถเนี้ยะ


ผมหยิก หน้าก้อ คอต่อ คิ้วสั้น คบไม่ได้เด้อ คำกล่าวนี้ได้ยินมาน๊านนน นาน... .ซึ่งหากดูให้ครบลักษณะที่กล่าวมาก คนใดที่มีลักษณะผมหยิกๆ หน้าสั้นๆ หักๆ คอหาแทบไม่เจอ จะด้วยเพราะอ้วนหรือ เหตุใดก็ตาม ประกอบกับมีคิ้วก็สั้นๆ รวมดูแล้ว ไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามอย่าดูแค่รูปกายภายนอก ให้ศึกษานิสัยใจคอด้วยจ๊ะ


ไทยเล็ก เจ็กดำ คบบ่ได้ จิงหรือ? โบราณท่านว่าไว้ว่า คนที่มีลักษณะดังต่อไปนี้คบยากเหลือเกิน หากเป็น คนไทยก็ต้องตัวไม่เล็กแคระแกรน เนื่องจากคนไทยในสมัยโบราณตัวใหญ่ทั้งผู้ หญิงและผู้ชาย หาคนตัวเล็กมีน้อยมาก และถ้าเป็นคนจีนก็ต้องตัวไม่ดำ "ไทยเล็ก เจ็กดำ" จึงติดปากมาจนทุกวันนี้ แต่หากจะพิจารณากันให้ ถ่องแท้ คงจะต้องดูที่นิสัยรวมไปด้วย นั่นเป็นเพียงแต่การสันนิษฐานเบื้องต้นให้ ได้ยินเท่านั้น ก็ลองใช้ดุลพินิจดูว่า จะเป็นจริงตามที่ท่านกล่าวมาไว้หรือไม่ ทั้งนี้ คำกล่าวที่ว่า ไม่ได้รวมหมายถึง การงานของเขาเหล่านั้น ท่านหมายแต่เพียงว่า มัก จะมีนิสัยออกไปทางคนโกงเจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาเปรียบประมาณนั้น


คนหลายเสียงคบไม่ได้ คนทั่วไปตามปกติแล้ว หากไม่มีเสียงธรรมดาแล้ว ก็อาจจะมีเสียง แหลมเล็ก หรือทุ้มใหญ่ไปเลย คนโบราณกล่าวไว้ว่า หากคนใดมีหลายเสียงในขณะ ที่พูดคุยตามปกตินั้น เป็นคนคบยาก เพราะเท่ากับว่า หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ แม้แต่เสียงของตัวเองยังบังคับให้อยู่ในระดับเดียวกันไม่ได้เลย ขณะพูดคุย เดี๋ยวทำเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงใหญ่ เสียงเล็กไปเรื่อย แต่คนในลักษณะนี้หายาก และในเมื่อหายาก ก็ดูจะยิ่งเพิ่มความขลังให้ ความเชื่อนี้แม่นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเจอก็ให้ห่างๆ ไว้เป็นดี


คนหัวล้านมักเจ้าชู้และเจ้าเล่ห์ คำกล่าวนี้ได้ต้นแบบมาจากขุนช้างในวรรณคดีนั่นเอง ขุนช้างเป็นคน เจ้าชู้ ชอบหญิงสาวที่มีรูปงาม จุดเด่นของเรื่องในวรรณคดี มีการแย่งหญิงสาวอัน เป็นคนรักของขุนแผน โดนขุนช้างใช้เล่ห์ทุกวิถีทาง เพื่อหลอกให้คนรักของขุนแผน มาอยู่กับตน จึงถูกมองว่า ผู้ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับขุนช้างคือ หัวล้าน มีรูปร่างอ้วน ท้วม ขาวนั้น จะต้องมีนิสัยเช่นเดียวกับขุนช้างเสมอไปแต่ขุนช้างก็เป็นคนร่ำรวยมาก ดังนั้นก็เป็นเรื่องที่แปลกว่า คนหัวล้านก็มักจะรวยเสียทุกคนเหมือนขุนช้างอีกด้วยซิ


คนมีปาน แสดงว่าเคยเกิดมาแล้ว เด็กทารกคนใดที่เกิดมาแล้วมีปานหรือเรียกว่า มีตำหนิ ในส่วนใดส่วน หนึ่งของร่างกาย คนโบราณถือว่า ได้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง และถูกป้ายด้วยของ ทำ เป็นตำหนิเอาไว้ หากเป็นปานแดง ก็เชื่อกันว่า ถูกป้ายด้วยปูนแดงและหากเป็นปานดำ ก็เชื่อกันว่า ถูกป้ายด้วยถ่านเพราะถ้าหากมีบุญจริง อาจจะพบกันชาติหน้าและจำกันได้ โดยให้สังเกตจากตำหนิ แต่ในหลักความเป็นจริงแล้ว การเกิดปานไม่ว่าจะมีสีใดก็ตาม เป็นเพราะ ผิวหนังผิดปกตินั่นเอง


ห้ามปลูกต้นไม้ที่วัดปลูก เชื่อกันว่า ต้นไม้ที่ขึ้นตามวัดหรือนำไปปลูกที่วัด เป็นของสูงและสมควรอยู่ ในวัดเท่านั้น ไม่ควรนำมาปลูกที่บ้าน จะทำให้บ้านนั้นตกอับ ไม่เจริญ เท่ากับเอาของสูง มาวางไม่ถูกที่ หากเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ได้นำมาปลูก ก็ให้ถอนออกเสีย หากจะให้ดี ก็ให้ นำไปไว้ที่วัดเสีย ต้นไม้ดังกล่าวอันได้แก่ ต้นโพธิ์ ต้นหวาย ต้นโมกข์ ต้นไทร ต้นนนทรีย์ ต้น ตะเคียน เป็นต้น แต่ทั้งนี้จะรวมถึงต้นไม้ที่ไม่เป็นสิริมงคลดวย เช่นต้นโศก ต้นระกำ ต้นยาง ที่มักนำมาทำโรงศพ ต้นสำโรงที่ดอกมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเหล่านี้ดูไม่เป็นสิริมงคล จึงไม่นิยม นำมาปลูกในบริเวณบ้านกัน


ห้ามตัดผมวันพุธ วันพุธห้ามตัดผม เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ห้ามกันนักห้ามกันหนาเชื่อกันว่า ตัดผม วันพุทธจะทำให้เกิดอัปมงคลกับชีวิตทีเดียว จะเห็นได้ว่า ร้านตัดผมมักจะปิดร้านในวัน พุธกัน บ้างก็อ้างว่า ตัดผมในวันพุธหัวกุดท้ายเน่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรเชื่อเสียบ้าง ตัดในวันรุ่งขึ้นก็คงไม่นานเกินรอไปได้ และก็ยังไม่ได้ยินเช่นกันว่า นิยมตัดผมกันในวันพุธ


ตาเขม่น ฮิต ฮิต ฮิต เรื่องตาเขม่นตามความเป็นจริงแล้ว เขม่นได้หลายส่วนของ ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก แขน ขา หรือแม้กระทั่งตา ดังนั้นการเขม่นตาจะแบ่งออก เป็น 3 ช่วงคือ


หากเขม่นตาในช่วงเช้า - บ่าย คนโบราณกล่าวไว้ว่า หากเป็นข้างขวาจะมีโชค ลาภ ได้รับข่าวดี เรียกว่า จะสมหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่คอย และหากเขม่นที่ตาซ้าย ท่านว่าจะมีเคราะห์ โชคร้ายผิดหวังเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน เช่น มีการทะเลาะกัน เกิดขึ้น หรือจะต้องสูญเสียของรักบางอย่างไป ถ้าเขม่นตาไม่ว่าจะเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวาในช่วงเวลาเย็นถือว่ามีโชคมีลาภ จะได้พบญาติสนิทมิตรรักเดินทางมาหา


แต่ถ้าเป็นในช่วงกลางคืน การเขม่นตาขวาจะได้ดี จะมีเคราะห์มีเหตุร้ายเกิด ขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าหากเขม่นตาซ้ายจะมีโชคลาภจากเพื่อน จะสมหวังสิ่งที่รอคอย เรียกว่า ขวาร้าย-ซ้ายดี การเขม่นตานี้ เชื่อกันว่า เป็นลางบอกเหตุที่แม่นยำมาก ท่านให้ถือเวลาที่จะเกิด เหตุไม่ดีและร้ายภายใน 3 วันอย่างแน่นอน


เมื่อสัตว์ป่าเข้าบ้าน เรื่องของสัตว์ป่านั้น ตามธรรมชาติแล้วสัตว์ป่าก็ควรที่จะอยู่ตามป่าตามเขาจึง จะถูกต้อง แต่หากเมื่อใดสัตว์เหล่านี้เป็นต้นว่า งูต่างๆ ชนิด หรือแม้กระทั่งเต่า คำโบราณ ถือนักว่า ผิดธรรมชาติและหากจะให้สัตว์จำพวกนี้อยู่ในบ้านก็คงอยู่ไม่ได้ ถือว่านำความ อัปมงคลมาสู่ครัวเรือน ท่านให้แก้เคล็ดด้วยการ จุดธูปเทียน ดอกไม้บอกเล่าและเชิญให้ ออกจากบ้าน พร้อมกับขอพรให้นำพาสิ่งดีงามมาให้ สัตว์ป่าที่เข้าบ้านนี้ ตามคำโบราณยังถือรายละเอียดอีกมากมายเกี่ยวกับว่า มา ทิศใดจะนำอะไรมาให้ ยกเว้น หากเป็นทางทิศตะวันตกและทิศเหนือจะได้รับโชคลาภ แต่ก็ นั่นแหละตอนที่สัตว์ป่าเหล่านี้คลานมาคงไม่มีใครรู้ มาทางใดมารู้อีกทีก็อยู่ในบ้านเสียแล้ว ดังนั้นทางที่ดีก็อย่ามาเลยดีก่าเนอะ


ห้ามเผาศพวันศุกร์ คนโบราณถือว่า "เผาศพในวันศุกร์ให้ทุกข์กับคนเป็น" และโดยปกติทั่วไปจะ สังเกตว่า ไม่มีผู้ใดเผาศพในวันศุกร์ให้เห็นเลย เพราะเชื่อกันว่า วันศุกร์เป็นวันแห่งโชคลาภ วันแห่งความร่มเย็นเป็นสุข เหมาะที่จะมีงานมงคลมากกว่างานเผาศพน๊ะ


หวีหัก โชคไม่ดี คนโบราณเชื่อกันว่า ในขณะที่กำลังสางหรือหวีผมนั้น ไม่ว่าจะใช้หวีไม้หรือหวี พลาสติกก็ตามแต่ แล้วหวีเกิดหักคาผมในขณะที่ยังหวีอยู่นั้น ท่านให้เชื่อได้เลยว่า จะเกิด เรื่องไม่ตีตามมาอย่างแน่นอน เป็นต้นว่า อาจมีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น สูญเสียของรัก หรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจให้หงุดหงิดได้ การแก้เคล็ดด้วยการนำหวีนั้นทิ้งไปเลย ไม่ให้เก็บไว้ใช้หรือนำไปซ่อมมาใช้ใหม่ และจุดธูปบอกเล่าให้สิ่งร้ายกลายเป็นดีเรื่องหนักก็จะกลายเป็นเบาเสีย แต่ความเชื่อของคนโบราณเรื่องหวีหักนี้ อาจจะเกิดเรื่องที่ไม่รุนแรงนักก็ได้ แล้วแต่โชคชะตาและดวงในตอนนั้นด้วย


มีกลิ่นธูป หมายถึงวิญญาณ ในยามวิกาลเสียงเงียบสงัด เมื่อใดได้กลิ่นธูปลอยมา โดยที่ไม่มีใครจุดธูปใน บริเวณนั้นๆ เลย คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของญาติสนิทภายในครอบครัวมาหา จะเป็นเพราะคิดถึง ห่วงใยกันหรือด้วยเหตุใดก็ตาม ท่านให้คนที่ได้กลิ่นธูปนั้น จุดธูป 1 ดอก ลอกเล่าให้ไปที่สงบๆ อย่ากังวลสิ่งใดที่จะทำให้วิญญาณไม่สงบสุขเลยบางคนอาจ ขอพรจากวิญญาณญาติสนิทนั้นให้ปกปักรักษา และให้โชคลาภด้วย แต่หากไม่มีญาติสนิทในระยะนั้นเสียชีวิต ก็เชื่อกันว่า อาจจะเป็นวิญญาณ พเนจรทั่วไป ก็ให้จุดธูปเช่นเดียวกันบอกเล่าว่า อย่ามารบกวนให้กลัว ให้ไปที่ชอบที่สงบ และนิยมใส่บาตรแผ่ส่วนกุศลให้ในวันรุ่งขึ้นด้วย


ผึ้งทำรังในบ้าน มีโชค โดยธรรมชาติแล้ว ผึ้งมักนิยมทำรังตามต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนาแน่น และอยู่ในที่ สงบไม่พลุกพล่าน แต่เมื่อใดที่ผึ้งมาทำรังในบ้านจะเป็นชายคาบ้าน ใต้หลังคาบ้าน บางบ้าน มีผึ้งมาทำรังถึงห้องน้ำก็มี ท่านว่าไว้ว่า อย่าไปไล่หรือทำลายเด็ดขาด จะทำให้เกิดความหายนะขึ้นกับครอบ ครัวเรือนนั้น เพราะผึ้งเป็นสัตว์นำโชค ให้ปล่อยผึ้งทำรังต่อไป เชื่อกันว่า ยิ่งรังใหญ่มาก เท่าใด ก็จะมีโชคลาภมากขึ้นเท่านั้น และควรจุดธูปเทียนบูชา รวมทั้งดอกไม้ เพื่อความเป็น สิริมงคลด้วย


ดูดวงจากต้นว่าน คนที่ทำอาชีพค้าขาย หรือนักธุรกิจติดต่อกับผู้คน เพื่อการค้าต่างๆ คนโบราณ โดยเฉพาะในสมัยก่อน นิยมปลูกต้นว่านต่างๆชนิดแล้วแต่ และดูดวงชะตาตัวเองจากการ เจริญเติบโตของต้นว่าน นั้นๆว่า เติบโตงอกงามขึ้นหรือไม่ ชีวิตกำลังรุ่งเรืองและยิ่งต้น ว่านนั้นออกดอกออกผล ก็จะยิ่งทำให้ดวงชะตาพุ่งสูงมาก ท่านรีบจุดธูปขอพรให้ดวง ชะตาคงอยู่เช่นนั้น แต่หากต้นว่านที่ปลูก อยู่ๆเกิดหักงอ หรือเหี่ยวแห้งลงทุกวันๆ หรือ ปลูกมานานแล้วก็ไม่เกิดดอกออกผลเสียที ท่านให้เชื่อว่า ดวงกำลังตก การค้าขายก็กำลังแย่ ให้รีบทำบุญทำทาน หรือหาทางแก้ไขปรับปรุงการค้า หรือธุรกิจนั้นเสีย พร้อมกับบำรุงดูแล ต้นว่านนั้นด้วย


มือชนกันขณะกินข้าว จะมีแขกมาเยือน ในสมัยโบราณ ไม่มีการติดต่อสื่อสารที่สะดวกเหมือนปัจจุบันการโทรศัพท์ก็ยังไม่ มีใครรู้จักนัก เพราะฉะนั้นเวลาจะนัดหมายกับใครรู้จักนัก เพราะฉะนั้นเวลาจะนัดหมายกับใคร สักคนก็เป็นไปได้ยาก จะต้องพบกันแล้วนัดหมายในครั้งต่ไปกันเลย แต่คนโบราณใช้วิธีการสังเกตความเป็นไปได้ว่า ในขณะที่นั่งล้อมวงรับประทาน อาหารกันนั้น หากมี 2 คนในวงเอื้อมมือไปหยิบอาหารพร้อมกัน และชนกันที่กลางสำรับอาหาร เชื่อว่าจะต้องมีแขกมาเยือนกันถึงเรือนชานอย่างแน่นอน ไม่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้ ก็จะมีการเตรียม ข้าวปลาอาหารรอต้อนรับ และก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้งไป

แต่งบ้านตามราศี


แต่งบ้านตามราศี ทำให้ห้องโปรดสะท้อนความเป็นตัวตน
การแต่งบ้านตามราศีเกิด เป็นเหมือนสีสันสำหรับการอยู่อาศัยที่หลายคนสนใจ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่มีความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้บ้านใหม่ หรือห้องโปรดของคุณสะท้อนความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย


ชาวราศีเมษ บ้านของชาวราศีเมษจะไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เรียบง่าย สะดุดตา เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นสง่า ภายในบ้านจะมีความโปร่งโล่งเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น เพราะชอบความเป็นอิสระ เป็นคนใจร้อน ถ้ามีของเยอะจะรู้สึกเกะกะ โทนสีที่นิยมคือ สีออกเหลืองนวลขาว หรือสีแดงของไม้มะค่า ลักษณะเด่นเป็นผู้ใฝ่รู้ จึงต้องมีห้องหนังสือ และชั้นวางหนังสือเป็นสัดส่วน


ชาวราศีพฤษภ สไตล์การแต่งบ้าน จะออกเรียบๆ สบายๆ เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่แสดงถึงความอัครฐานและบ่งบอกถึงฐานะ ลักษณะของห้องต่างๆ จะถูกออกแบบให้เป็นไปตามการใช้งานจริง และภายในห้องจะต้องมีสิ่งที่จำเป็นอยู่ครบถ้วน ส่วนของตกแต่ง มักจะเป็นงานศิลปะ สีที่นิยม สีทอง สีแดง สีเลือดนก


ชาวราศีมิถุน บ้านจะโปร่งโล่งให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือมีโคมไฟหลายๆ จุด เพื่อให้ความสว่าง บ้านถูกออกแบบให้มีมุมทำกิจกรรมหลายมุม ชอบการต้อนรับ ชาวราศีนี้จึงให้ความสำคัญกับบริเวณหน้าบ้าน ห้องรับแขก และห้องครัว ชื่นชอบในงานศิลปะ และความงามของเฟอร์นิเจอร์เน้นความทันสมัย แปลกตา สีที่นิยม สีเขียว สีฟ้า


ชาวราศีกรกฎ ชาวราศีนี้เป็นผู้ที่ชอบพบปะผู้คนและมีมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ การสร้างบ้านตลอดจนการตกแต่งจึงไม่เพียงเพื่อความสุขกายสบายใจของตนเองและครอบครัว แต่ยังคำนึงถึงผู้อื่นด้วย ชอบงานศิลปะ เครื่องดนตรี จึงมักพบเห็นสองสิ่งนี้เป็นของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์เน้นความสะดวกสบาย เครื่องเรือนสามารถจัดเก็บของได้มาก สีที่นิยมใช้คือ สีเหลือง สีขาว สีฟ้า และสีออกโทนส้ม


ชาวราศีสิงห์ เป็นผู้ที่ชอบทำงาน ชอบใช้สมองตลอดเวลา จึงต้องมีห้องทำงาน เน้นบ้านที่แข็งแรงมั่นคง เพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงจิตใจ บ้านกว้างใหญ่ไว้อวดผู้มาเยือน ส่วนเฟอร์นิเจอร์นิยมความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานหนักได้ พื้นห้องมักจะเป็นหินอ่อน หินแกรนิต สีที่นิยมใช้ คือสีในวรรณะร้อน คือสีแดง สีส้ม สีแสด และสีที่แลดูโปร่ง เช่น สีขาวนวล สีขาวอมส้ม


ชาวราศีกันย์ ลักษณะเด่นมีความเป็นแม่ศรีเรือน เป็นพ่อบ้าน มักให้ความสำคัญกับห้องครัวเป็นพิเศษ ต้องมีอุปกรณ์ครบถ้วน เป็นคนที่รักครอบครัว ชื่นชอบของเก่า การแต่งบ้านต้องมีการแบ่งสัดส่วนภายในอย่างชัดเจน ควรมีความโล่งโปร่งมากๆ เพราะให้ความสำคัญกับการทำงานจึงมักไม่ค่อยมีเวลาดูแล เฟอร์นิเจอร์ต้องแข็งแรงทนทาน ถ้าเป็นของเก่าที่ตกทอดกันมาจะยิ่งชอบมาก สีที่นิยม คือ สีเขียว สีแสด สีม่วง สีเทา และสีฟ้า


ชาวราศีตุล ลักษณะเด่นชาวราศีนี้คือ มีงานอดิเรกในการวาดภาพ และสะสมภาพ บ้านจึงเน้นผนังทึบไว้ติดงานเหล่านี้ หรือมีมุขทำงานศิลปะโดยเฉพาะ ห้องนอนมีเตียงสวยๆ บ้านมีความเนี้ยบเป็นระเบียบ เพราะอุปนิสัยเป็นคนประณีต ชอบความหรูหรา เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต้องประณีตเรียบร้อย หากเป็นภาพ แผนที่ หรือลูกโลกประดับในบ้านจะชอบมาก เพราะชอบเดินทาง สีที่นิยมคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน สีดำ


ชาวราศีพิจิก ชาวราศีนี้คือใส่ใจกับห้องน้ำเป็นพิเศษ หากเลือกได้ห้องน้ำต้องเป็นห้องที่กว้างใหญ่ สวยงาม อุปกรณ์ครบครัน มีความสว่างที่เพียงพอ เกือบจะเป็นห้องนอนห้องที่สองเลยทีเดียว อุปนิสัยเป็นคนลึกลับและมีสัญชาตญาณในการปกป้องตัวเองสูง วิตกกังวล และรักสันโดษ ทำให้บ้านมีลักษณะแปลกตา เฟอร์นิเจอร์มีรูปทรงที่ทันสมัย หรือไม่ก็เก่าแก่โบราณไปเลย เป็นคนชอบเครื่องเสียง หรือสิ่งที่เป็นไฮเทคโนโลยีทั้งหลาย สีที่นิยมคือ สีเหลืองอ่อนและสีขาว


ชาวราศีธนู เป็นคนที่มีภารกิจยุ่ง วุ่นวาย แม้แต่เวลาจะนอนก็ยังอดไม่ได้ต้องเอางานมาทำด้วย ในห้องนอนจึงต้องมีโต๊ะทำงาน และตู้หนังสือ เป็นนักอนุรักษนิยมชอบความเป็นธรรมชาติ บริเวณบ้าน จึงต้องมีต้นไม้เป็นส่วนประกอบสำคัญ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้มักจะทำจากไม้ และมีขนาดใหญ่ ไม่ชอบความเกะกะ สีที่นิยมใช้คือ สีแสด สีเหลือง และสีชมพู


ชาวราศีมังกร ด้วยอุปนิสัยที่ชอบวิตกกังวลทำให้ต้องมีกระจกเงาบานใหญ่ และยาวพอที่จะส่องเห็น ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เพื่อเพิ่มความมั่นใจเมื่อต้องออกไปพบปะผู้คน ชอบเก็บตัว ระแวดระวัง มีความเป็นส่วนตัวสูง บ้านมักมีรั้วรอบขอบชิด หรือมีม่านหน้าทึบ ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน ห้องนอนต้องสงบและมืดทึบ เฟอร์นิเจอร์คำนึงถึงประโยชน์ในการเก็บทรัพย์สินและสิ่งของได้มาก สีที่นิยมคือ สีดำ สีม่วง หรือสีโทนเข้มๆ


ชาวราศีกุมภ์ ชาวราศีนี้ชอบการพบปะสังสรรค์ มักมีผู้คนไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-เจรจาธุรกิจ ห้องรับแขกจึงควรมีเนื้อที่จัดปาร์ตี้เล็กๆ ตัวบ้านเน้นความสวยงาม คนชอบเล่นกีฬาชอบออกกำลังกาย และชอบฟังดนตรี บริเวณบ้านจึงมักมีส่วนเพื่อออกกำลังกาย และมีมุมฟังดนตรี เฟอร์นิเจอร์เน้นความสวยงามของรูปทรงและสีสัน สีที่นิยม สีน้ำเงิน สีฟ้า และสีเขียว


ชาวราศีมีน รอบๆ บ้านมักมีตุ่มใส่น้ำ บ่อเลี้ยงปลา อ่างบัว ตรงกับสัญลักษณ์ของเจ้าราศี ที่เป็นรูปปลา เป็นคนรักสบาย รักความเป็นอิสระ บ้านมีความเด่นชัดที่ความเรียบง่าย ดูสบายๆ แต่ทันสมัยตามยุค ชอบความโล่ง ไม่ยึดติด เฟอร์นิเจอร์มักเป็นแบบที่ประยุกต์ไปใช้งานได้หลายอย่าง ในห้องน้ำมักจะมีอ่างอาบน้ำเพื่อสร้าง ความเย็นกาย เย็นใจให้ สีที่นิยมคือ สีเขียว สีฟ้า และม่วงอมคราม ราศีใดตรงกับความเป็นตัวตนของคุณก็เลือกแต่งได้เลยตามความพอใจ


วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ถึงเเม่

http://www.youtube.com/watch?v=QFYEzSoVVYs

เข้าไปชมกันได้นะ ทุกคน เจ้าของ blog ทำให้แม่ ติ ชมกันได้ไม่ว่ากัน


วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

'ทางม้าลาย'


สัญลักษณ์ของทางลายขาว-ดำ ที่มีไว้สำหรับให้คนข้ามถนน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า 'ทางม้าลาย' นั้นแท้จริงแล้วในตอนแรกหาได้เป็นสีขาวกับสีดำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันไม่

       
        เดิมทีแถบสีสัญลักษณ์ของทางคนข้ามนี้เคยเป็นสีน้ำเงินและสีเหลืองมาก่อน โดยมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก (หลังทำการทอดลองใช้แล้ว) ตามท้องถนนของประเทศอังกฤษราว 1,000 จุด เมื่อปี 1949 เพื่อบ่งบอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางที่อนุญาตให้คนสามารถข้ามถนนได้
       
        แต่ก่อนนั้น สัญลักษณ์ของทางข้ามนี้จะอยู่คู่กับ 'เสาโคมไฟสัญญาณบีลิสชา' ซึ่งถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 1934 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสัญญาณให้พาหนะที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหยุดวิ่งชั่วขณะเพื่อให้คนที่อยู่สองข้างทางได้เดินข้ามถนนอย่างปลอดภัย โดยพาหนะต่างๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อโคมไฟสัญญาณบีลิสชาซึ่งมีสีส้มส่องสว่างขึ้น
       
        ต่อมา เลสลี ฮอร์น บีลิสชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแดนผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำโคมไฟสัญญาณดังกล่าวมาติดตั้งก็คิดว่าน่าจะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่เป็นแถบสีบนพื้นถนนบริเวณที่มีการติดตั้งโคมไฟสัญญาณเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของทางข้ามที่มีแถบสีจึงถือกำเนิดขึ้น
       
        จากนั้นก็มีการทดลองใช้สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ทาเป็นสัญลักษณ์ แล้วในปี 1951 สัญลักษณ์ของทางข้ามที่เป็นแถบสีขาว-ดำก็ถูกนำมาใช้คู่กับโคมไฟสัญญาณบีลิสชาอย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า 'ทางม้าลาย' เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลายของม้าลายนั่นเอง
       
        ต่อมาอังกฤษได้นำไอเดียดังกล่าวไปใช้กับประเทศอาณานิคมของตัวเอง เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ทางม้าลายจึงกลายเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากลไปโดยปริยาย

ต้นกำเนิดไฟสัญญาณจราจร





การจดบันทึกทางประวัติศาสตร์เอาไว้ ต้นกำเนิดไฟสัญญาณจราจรแห่งแรกบนโลกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1868 เกิดขึ้นก่อนที่คนเราจะรู้จักกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเสียอีก โดยมี เจ.พี. ไนต์ วิศวกรชาวอังกฤษเป็นเจ้าของผลงาน


วัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ไนต์สร้างไฟสัญญาณจราจรขึ้นมาก็เพื่อใช้ควบคุมการสัญจรของรถม้า และคนเดินเท้าที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณสี่แยก ที่เริ่มจะพลุกพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนั้น โดยสถานที่ที่ได้รับเกียรติให้ทำการติดตั้งผลงานชิ้นแรกของไนต์ก็คือ สี่แยกใจกลางมหานครลอนดอนบริเวณหน้ารัฐสภาอังกฤษ นั่นเอง


รูปลักษณ์ของไฟสัญญาณจราจรฝีมือไนต์นั้นออกจะดูแปลกตาไปเสียหน่อยหากเทียบกับปัจจุบัน เพราะมันจะมี 2 แขน เมื่อใดที่แขนทั้ง 2 ข้างของมันเคลื่อนตัวขนานกับพื้นดินหมายความว่า พาหนะที่กำลังสัญจรอยู่บริเวณสี่แยกจะต้องหยุดทันที ทว่า หากแขนทั้ง 2 ข้างของสัญญาณจราจรเคลื่อนตัวทำมุม 45 องศา จะหมายความว่า ให้ผู้ใช้พาหนะทุกชนิดใช้ถนนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยในตอนกลางคืนจะมีไฟสีแดงและสีเขียวซึ่งได้จากพลังงานแก๊สบนแขนทั้ง 2 ข้างเป็นตัวให้สัญญาณเพื่อให้มองเห็นเด่นชัด โดยแสงสีแดงหมายถึง 'หยุด' ส่วนแสงสีเขียวหมายถึง 'ให้ระวัง'


ต่อมาวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไฟเขียว-ไฟแดง แบบใช้พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในเมือง ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐฯ ช่วงปี 1912 โดย เลสเตอร์ ไวร์ พนักงานตำรวจชาวอเมริกันเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของเขาเอง


ในช่วงแรกไฟสัญญาณจราจรที่ใชักันอยู่จะมีแค่ไฟเขียว และไฟแดง เท่านั้น จนกระทั่ง ในปี 1920 วิลเลียม พอตต์ ตำรวจจราจรแห่งดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ได้ออกแบบไฟสัญญาณจราจรรูปแบใหม่ขึ้น พร้อมกับเพิ่มไฟสีอำพัน (สีเหลือง) เข้าไปอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นสัญญาณเตือนผู้ใช้พาหนะให้ระวัง และชะลอตัวก่อนที่จะหยุด หรือ ออกตัว


จากนั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ไฟสัญญาณจราจรแบบอัตโนมัติก็ถูกประดิษฐ์ขึ้น โดยเป็นฝีมือของ การ์แรตต์ มอร์แกน ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในเมืองเคลฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก


และทั้งหมดนี้ก็คือวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรที่ถูกพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ และมีใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน...

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องย่อ แฮร์รี่ ภาค 1-7 Harry Potter 1-7



ภาค 1
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone) ภาพยนตร์ภาค 1 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ และ สตีฟ โคลฟ เขียนบทภาพยนตร์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์, เอ็มม่า วัตสัน, ทอม เฟลตัน, ร็อบบี้ โคลเทรน, เอียน ฮารต์, ริชาร์ด แฮร์ริส, เบรนแดน กลีสัน, ริชาร์ด กริฟฟิทส์, ฟิโอนา ชอว, แฮร์รี่ เมลลิง, โซ วานาเมกเกอร์, แมกกี้ สมิธ, จอห์น คลีส, จูลี วอลเตอร์ส
เนื้อเรื่องย่อ


แฮร์รี่อาศัยอยู่กับบ้านลุงกับป้าและลูกพี่ลูกน้องของเขามาเป็นเวลา 10 ปี วันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับเขา เขาเผลอปล่อยงูใส่ลูกพี่ลูกน้องขณะไปเที่ยวสวนสัตว์ หลังจากนั้นเขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง แต่ลูกกับป้าเห็นเข้าเลยเอาไปทำลาย แต่จดหมายก็ถูกส่งมาเรี่อยๆ จนพวกเขาต้องย้ายไปอยู่ในกระท่อมกลางเกาะ ในคืนวันเกิดแฮร์รี่ เขาพบกับแฮกริดและรู้ว่าเขาเป็นพ่อมด ได้มีโอกาสไปเรียนโรงเรียนพ่อมดแม่มดของผู้วิเศษชื่อ ฮอกวอตส์ และได้ไปซื้อของที่ตรอกไดแอกอน และในตอนที่เขาไปซื้อของที่ร้านไม้กายสิทธิ์นั้นเอง เขาได้ไม้มาและพบว่าใครคนหนึ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อเขา และเขาคือคนที่ให้แผลเป็นรูปสายฟ้ากับแฮร์รี่ หลังจากนั้นเขาได้นำเรื่องนั้นไปถามแฮกริดและพบว่าคนคนนั้นคือ ลอร์ดโวลเดอมอร์ พ่อมดผู้ชั่วร้ายที่สุดและเขาคือคนฆ่าพ่อแม่แฮร์รี่
และในวันที่เขาไปโรงเรียนในตั๋วเขียนว่าให้ไปที่ชานชาลาที่ 9? แต่เขาไม่รู้ว่าชานชาลานั้นอยู่ที่ไหน แต่เขาได้พบกับรอนและครอบครัววิสลัย์ และได้ขึ้นรถไฟ ได้พบกับเฮอร์ไมโอนี่ที่ฉลาดเป็นกรด และรถไฟก็ถึงฮอกวอตส์
ที่ฮอกวอตส์เขาถูกคัดสรรให้ไปอยู่บ้านกริฟฟินดอร์ ในชั่วโมงปรุงยา เขาได้พบกับศาสตราจารย์สเนปที่ไม่ถูกชะตากับแฮร์รี่อย่างมาก และเขาได้รู้จักกับควิดดิช กีฬาของพ่อมด เขาได้เป็นซีกเกอร์ประจำทีม วันหนึ่งเขาได้พบกับหมาสามหัว ในวันฮาโลวีน โทรลล์ถูกปล่อยออกมาทำลายของและเขาพบสเนปที่มีขาโชกเลือด และสงสัยว่าสเนปคือคนปล่อยโทรลล์ออกมา ในวันแข่งควิชดิชเขาเห็นสเนปสาปไม้กวาดแฮร์รี่ และสงสัยว่าสเนปพยายาทมฆ่าแฮร์รี่ หลังจากพวกเขาเล่าว่าสเนปทำอะไรให้แฮกริดฟัง แฮกริดก็ได้เผลอหลุดปากออกมาเกี่ยวกับบุคคลลึกลับที่ชื่อว่านิโคลัส แฟลมเมล
หลังจากนั้นเขาพบว่า นิโคลัส แฟลมเมลคือคนที่ประดิษฐ์ศิลาอาถรรพ์ ซึ่งทำให้ผู้ที่มีครอบครองเป็นอมตะ และพบว่าคนที่ต้องการศิลาอาถรรพ์คือโวลเดอมอร์ที่ตอนนี้อ่อนแอ และต้องพึ่งเลือดยูนิคอร์น และพวกเขาวางแผนจะป้องกันศิลาไว้ให้จงได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร...ต้องติดตาม




ภาค 2
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ Harry Potter and the Chamber of the Secrets ภาพยนตร์ภาคที่ 2 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ และ สตีฟ โคลฟ เขียนบทภาพยนตร์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์, เอ็มม่า วัตสัน,ครีสเตียน โคลซอน
ในปีที่2ของแฮร์รี่ปีนี้ เขาไม่ได้รับจดหมายจากเพื่อนของเขาคนไหนเลย และพบกับเอลฟ์ประจำบ้านที่ชื่อด๊อบบี้ที่มาเตือนภัยแฮร์รี่ ว่าปีนี้มีการวางแผน แผนที่ทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายมาก และแฮร์รี่จะต้องไม่กลับไปโรงเรียนของเขา ในปีนี้ แต่แฮร์รี่ไม่ยอม จนเอลฟ์เสกขนมพุ๊ดดิ้งให้ลอยแล้วตกใส่หัวของแขกของลุงกับป้าเขา จนลุงของเขาขังแฮร์รี่ไว้ไม่ให้ไปไหน แต่คืนหนึ่งรอนมาช่วยแฮร์รี่และพาแฮร์รี่หนีไปที่บ้านโพรงกระต่าย
แฮร์รี่อยู่ที่บ้านตลอดปิดเทรอม จนวันเปิดเรียน แผงกั้นชานชาลาปิด แฮร์รี่และรอนติดอยู่ข้างนอก แต่เขาใช้รถเหาะขับไปฮอกวอตส์ แต่ก็ทำให้มักเกิ้ลมากมายเห็นพวกเขา และทำให้พวกเขาถูกกักบริเวณและเกือบถูกไล่ออก แฮร์รี่ได้รู้เรื่องการใช้คำเหยียดหยามของพวกผู้วิเศษที่จะเรียกพ่อมดแม่มดที่กำเนิดจากมักเกิ้ลว่า "เลือดสีโคลน" ซึ่งเป็นคำที่ไม่ใช้กันในปัจจุบันแล้ว แต่คำนี้เป็นคำที่มัลฟอยใช้เรียกเฮอร์ไมโอนี่
ในวันฮาโลวีนพวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเขียนตัวอักษรเลือดเตือนขู่ไว้บนกำแพง ว่า "ห้องแห่งความลับได้ถูกเปิดออกแล้ว เหล่าศัตรูของทายาทจงระวัง!" และแมวของภารโรงถูกทำให้กลายเป็นหิน หลังจากนั้นเขาก็ได้รับรู้ว่าห้องลับนั้นถูกสร้างโดย ซัลซาร์ สลิธิลีน หนึ่งในผู้ก่อตั้งคนหนึ่งของโรงเรียน ฮอกวอตส์ ในห้องนั้นมีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่ พวกแฮร์รี่สงสัยว่ามัลฟอยคือทายาทแห่งสริธิลีนตามที่กำแพงเขียน และเตรียมทำน้ำยาสรรพรสที่สามารถปลอมเป็นใครก็ได้
ในวันแข่งควิดดิชแฮร์รี่ถูกทำร้ายโดยลูกบรัดเจอร์ หลังจากทีมแฮร์รี่ แฮร์รี่ต้องพักอยู่ในห้องพยาบาลเพราะต้องปลูกกระดูกใหม่ เนื่องจากตอนที่ลูกบรัดเจอร์อัดเขาแขนหัก จอมโม้กิลเดอลอย ล็อกฮาร์ตเสกให้กระดูกแฮร์รี่หายไป และในคืนนั้นเองลูกที่เกิดจากมักเกิ้ลคนหนึ่งถูกทำร้าย ในชมรมการต่อสู้ตัวต่อตัวแฮร์รี่พบว่าตนเป็นพาร์เซลเม๊าซ์หรือคนที่สามารถพูดภาษางูได้ และถูกคนสงสัยว่าเขาคือทายาทสลิธิลิน หลังจากนั้นนักเรียนก็ถูกทำร้ายอีกครั้ง แฮร์รี่ใช้น้ำยาสรรพรสปลอมตัวเป็นเพื่อนของมัลฟอยและรู้ว่ามัลฟอยไม่ใช่ทายาทสลิธิลิน แต่วันหนึ่งแฮร์รี่พบกับสมุดบันทึกของทอม ริดเดิ้ลในห้องน้ำ ในสมุดนั้นว่างเปล่า
วันหนึ่งแฮร์รี่เขียนข้อความลงในสมุดบันทึกและมีข้อความกลับมา และพบว่าทอม ริ้ดเดิ้ลบอกว่าแฮกริดคือคนปล่อยสัตว์ร้ายให้ฆ่านักเรียนตายเมื่อ 50 ปีก่อน และสมุดบันทึกหายไป และเขาก็ต้องเดิมพันน้องสาวรอนที่ถูกจับตัวไป และแฮรี่ปราบบาวิลิสได้




ภาค 3
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ( Harry Potter and the Prisoner of Azkaban) ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์ และ คริส โคลัมบัส ผู้กำกับภาคที่ 1 และ 2 กับเดวิด เฮย์แมนเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์, เอ็มม่า วัตสัน,ไมเคิล แกรมบอลล์ ที่มารับตำแหน่งดัมเบิลดอร์แทนคนก่อนเนื่องจาก คนรับตำแหน่งดัมเบิลดอร์คนก่อนเสียชีวิต
ภาคนี้ยังมีนักแสดงใหม่เพิ่มอีกด้วย เช่น แกรี่ โอล์แมน,เดวิด ทไวฟ,ทิโมตี้ สปอร์ เป็นตัน
แฮร์รี่ ปิดเทอมอยู่บ้าน ในขณะนั้นป้ามารจ์พี่ของลุงเวอร์นอน มาเยี่ยมบ้าน เมื่อมาถึงบ้านป้ามารจ์เริ่มด่าแฮร์รี่ แฮร์รี่พยายามทนเพราะท่าเขาทำตัวดี ลุงจะเซ็นใบตอบรับการไปฮอกมีดส์ของนักเรียนปีสามให้ แต่เมื่อป้ามารจ์เริ่มด่าแฮร์รี่และพูดถึงพ่อแม่เขาต่างๆนานา แฮร์รี่จึงทนไม่ได้เสกคาถาเป่าลมใส่คุณป้าจนลอยออกไป แฮร์รี่ซึ่งรู้ว่ากฎของโรงเรียนยคือห้ามใช้เวทมนตร์ต่อหน้ามักเกิ้ลเมื่ออายุยังไม่ถึง 17ปี แฮร์รี่จึงเก็บของและหนีออกนอกบ้านไป
เมื่อแฮร์รี่มาถึงที่ถนนแห่งหนึ่งและพบเขากับหมาดำตัวใหญ่ และพบกับรถเมย์อัศวินราตรี เขารู้เรื่องฆาตกรที่ยังลอยนวนอยู่นั่นคือซีเรียส แบล็ก ที่มีข้อหาฆ่ามักเกิ้ล 13 คน และว่ากันว่าเขาคือลูกน้องมือขวาของลอร์ดโวลเดอมอร์ เมื่อถึงที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว เขาพบรัฐมนตรีกระทรวงเขาให้ตัดสินแฮร์รี่ไร้ความผิดและสามารถกลับไปเรียนที่ฮอกวอตส์ได้เหมือนเดิม และเขาก็พบรอนกับเฮอร์ไมโอนี่ที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว ในคืนนั้นเองนายวิสลีย์ได้บอกเขาว่าแบล็กต้องการตามล่าและฆ่าแฮร์รี่
ในวันขึ้นรถไฟเขา เขาและเพื่อนๆนั่งห้องเดียวกันกับอาจารย์วิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่ รีมัส ลูปิน โดยเขาพบกับผู้คุมวิญญาณ เขาช่วยขับไล่ผู้คุมวิญญาณให้ วันที่เขาเรียนวิชาพยากรณ์ศาสตร์ ถ้วยชาของเขาปรากฏรางมรณะกริมขึ้น ในตอนบ่ายวันนั้นพวกเขาเรียนกับแฮกริด แฮกริดนำตัวฮิปโปร์กริฟที่ชื่อว่า บัคบีค มาสอน และแฮร์รี่สามารถขึ้นขี่ได้ แต่มัลฟอยไปท้าทายมันและถูกข่วนแขนจนได้รับบาดเจ็บ ในวันที่พวกรอนไปเที่ยวฮอกมีดส์ รูปของสุภาพสตรีอ้วนหายไป และพบเธอ เธอบอกว่าซีเรียสแบล็กกำลังอยู่ในปราสาทแห่งนี้ ในวันที่พวกเขาแข่งควิดดิชแฮร์รี่เห็นกริมและพบกับผู้คุมวิญญาณจู่โจมจนตกจากไม้กวาด ไม้กวาดของเขาหักจากการตกลงมา
เขาขอร้องให้ลูปินสอนคาถาที่ขับไล่ผู้คุมวิญญาณ เขาเรียนกับลูปินเรื่องคาถาที่สามารถขับไล่ผู้คุมวิญญาณได้นั่นคือคาถาผู้พิทักษ์ และเขาสามารถทำได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันบัคบีคถูกตัดสินประหาร ในวันที่ไปฮอกมีดส์ครั้งสุดท้ายเขาพบกับเฟร็ดและจอร์จที่ให้แผนที่ตัวกวนกับเขา แฮร์รี่เดินไปทางลับ และพบกับรอนและเฮอร์ไมโอนี่ แต่เขาก็ได้รู้ว่าซีเรียส แบล็กเคยเป็นเพื่อนกับพ่อแม่เขา และหักหลังพ่อกับแม่ อีกอย่างซีเรียสเป็นพ่อทูนหัวของแฮร์รี่ แฮร์รี่แค้นใจมาก จึงอยากแก้แค้น
วันที่ประหารบัคบีคเขาไปหาแฮกริดและพบกับสเคปเบอร์หนูของรอนที่หายไป หลังจากนั้นพวกเขาออกจากมาจากบ้านแฮรกริด แต่รอนถูกหมาลากเข้าไปในโพรง แฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ตามไปและพบว่าหมาคือซีเรียส แฮร์รี่พยายามฆ่า แต่ลูปินขวางไว้ และเผยความจริงว่าซีเรียสนั้นบริสุทธิ์ แต่คนที่หักหลังพ่อแม่แฮร์รี่คือปีเตอร์ เพ็ตดิกรูว์ซึ่งแปลงร่างเป็นหนูของรอน พวกเขาจับปีเตอร์ได้ แต่ในขณะเดียวกันลูปินแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าและทำร้ายซีเรียสจนเขาตกลงไปเจอผู้คุมวิญญาณ แฮร์รี่ไปช่วยแต่ก็ต้านไม่ไหว แต่ก็มีคนมาช่วยแฮร์รี่เสกึคาถาผู้พิทักษ์ใส่ผู้คุมวิญญาณ แต่พอแฮร์รี่ฟื้นขึ้นมา ปรากฏว่าซีเรียสถูกจับและกำลังจะถูกมอบจุมพิตจากผู้คุมวิญญาณ พวกเขาจึงใช้เครื่องย้อนเวลาย้อนไปในอดีตเพื่อช่วยบัคบีคและซีเรียส เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ต้องติดตาม...




ภาค 4 
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี (  Harry Potter and the Goblet of Fire) ภาพยนตร์ภาคที่ 4 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน จากบทภาพยนตร์ของ สตีฟ โกลฟส์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง นำแสดงโดยสามนักแสดงหลักจากสามภาคแรก แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์ และ เอ็มม่า วัตสัน ร่วมด้วย รอบบี้ โคลเทรน , ราล์ฟ เฟนน์ส,ไมเคิล แกมบอน , มิแรนด้า ริชาร์ดสัน ,แบรนแดน กลีสัน ,เจสัน อิซาคส์ ,แกรี่ โอล์ดแมน ,อลัน ริคแมน ,แมคกี้ สมิธ และ ทิโมธี สปอลล์
แฮร์รี่ถูกคุกคามด้วยฝันร้าย ทำให้แผลเป็นของเขาเจ็บอย่างมาก เขาได้ไปชมการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพกับ รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เพื่อนรัก
ในขณะการแข่งขันควิดดิช ได้เกิดลางบางอย่างเหนือท้องฟ้าที่ตั้งแคมพ์ผู้ชมการแข่งขัน คือตรามาร สัญลักษณ์ของลอร์ดโวลเดอมอร์ ซึ่งถูกเสกขึ้นมาโดยผู้เสพความตาย สาวกของเขาซึ่งไม่เคยกล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะ ตั้งแต่ครั้งที่มีผู้เห็น โวลเดอมอร์ เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อสิบสามปีก่อน ในคืนที่เขาสังหารพ่อแม่ของแฮร์รี่
ดัมเบิลดอร์ประกาศว่า ฮอกวอตส์จะเป็นเจ้าภาพการประลองเวทไตรภาคี การแข่งขันด้านเวทมนตร์ของพวกพ่อมดแม่มด ซึ่งจะมีตัวแทนหนึ่งคนจะถูกคัดเลือกจากแต่ละโรงเรียน ในสามสถาบันพ่อมดแม่มดที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงที่สุด โดยมีตัวแทนแข่งขันจากโรงเรียนเวทมนตร์คาถาโบซ์บาตง และหนุ่มๆ ที่ดูลึกลับและน่าเกรงขาม จากโรงเรียนเดิร์มสแตรงก์ เพื่อเข้าแข่งขันในหลากหลายภารกิจ ที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เพื่อครอบครองถ้วยรางวัลไตรภาคี
บาร์ตี้ เคร้าช์ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงเวทมนตร์ และศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ เป็นประธานพิธีประชุมกลางแสงเทียน ถ้วยอัคนีคัดเลือกนักเรียนหนึ่งคน จากแต่ละโรงเรียนเพื่อเข้าแข่งขัน โดยถ้วยอัคนีได้ขานนาม วิคเตอร์ ครัม นักกีฬาควิดดิชชื่อดังจากเดิร์มสแตรงก์ ตามมาด้วย เฟลอร์ เดอลากูร์ ผู้งามสง่าจากโบซ์บาตง และท้ายที่สุด เซดริก ดิกกอรี่ หนุ่มเนื้อหอมผู้สามารถแห่งฮอกวอตส์ และสุดท้ายคือชื่อของ แฮร์รี่ พอตเตอร์
ด้วยอายุ 14 ปี แฮร์รี่ยังขาดอีกสามปี จึงจะมีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันนี้ได้ แฮร์รี่ยืนกรานว่าไม่ได้ใส่ชื่อตัวเองลงไปในถ้วย และเขาไม่อยากเข้าแข่งขัน แต่การตัดสินใจของถ้วยอัคนีนั้นถือเป็นข้อผูกพัน และเขาต้องเข้าร่วมแข่งขันด้วย
นักข่าวจอมสาดโคลนอย่าง ริต้า สกีตเตอร์ โหมกระพือไฟใส่สีอยู่เบื้องหลังแฮร์รี่ ด้วยคอลัมน์ซุบซิบที่หวือหวาของเธอ จนแม้กระทั่งรอนเองยังเชื่อว่าเพื่อน "ที่อยากดัง" ของเขา ได้ใช้อุบายหลอกให้ถ้วยเลือกชื่อเขาขึ้นมา แต่ด้วยความกังขาสงสัยนี้ ว่าใครก็ตามที่ใส่ชื่อของแฮร์รี่ ลงไปในการประลอง มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ดัมเบิลดอร์จึงขอให้ อลาสเตอร์ 'แม้ด-อาย' มู้ดดี้ อาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดผู้แปลกประหลาด ช่วยใช้ตาวิเศษที่เฉียบคมของเขา จับตาพ่อมดวัยรุ่นไว้
ในการประลองเวทไตรภาคี แฮร์รี่ได้หลบหลีกให้พ้นจากมังกรพ่นไฟ การดำดิ่งสู่ก้นบึ้งทะเลสาบใหญ่ และการหาทางเดินในเขาวงกตที่มีชีวิต
แฮร์รี่ การรับมือกับมังกร ชาวเงือก และกรินดี้โลว์ หลังจากการแข่งขันจบลง เขาได้ขอนัดกับ โช แชงไปงานเต้นรำ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นลางร้าย เมื่อมีใครคนหนึ่งถูกฆ่าตาย ในบริเวณโรงเรียนฮอกวอตส์ ด้วยความหวาดกลัว และถูกหลอนด้วยความฝันเรื่องโวลเดอมอร์ แฮร์รี่จึงหันไปหาดัมเบิลดอร์ แต่แม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่ผู้น่านับถือ ก็ยังยอมรับว่าไม่มีคำตอบง่ายๆ ให้อีกต่อไปแล้ว
ในขณะที่แฮร์รี่และตัวแทนคนอื่นๆ ต้องรับมือกับภารกิจสุดท้าย และกิ่งก้านสาขาที่งอกอย่างรวดเร็วของเขาวงกตที่น่ากลัว บางคนหรือบางสิ่งกำลังจับตามองอยู่ พวกเขามองเห็นชัยชนะอยู่เบื้องหน้า แต่เมื่อเข้าไปใกล้ถ้วยไตรภาคี ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น




ภาค 5
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ ( Harry Potter and the Order of the Phoenix) ภาพยนตร์ภาคที่ 5 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ และ เดวิด แบร์รอน ไมเคิล โกลเดนเบิร์ก เขียนบทภาพยนตร์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์, เอ็มม่า วัตสัน, เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์, ร็อบบี้ โคลเทรน, วอร์วิค เดวิส, ราล์ฟ เฟนส์, ไมเคิล แกมบอน, เบรนแดน กลีสัน, ริชาร์ด กริฟฟิธส์, เจสัน ไอแซคส์, แกรี่ โอลด์แมน, อลัน ริคแมน, ฟิโอน่า ชอว์, แมกกี้ สมิธ, อิเมลด้า สทอนตัน, เดวิด ธิวลิส, เอ็มม่า ทอมป์สัน และ จูลี่ วอลเตอร์ส
แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในระหว่างที่เขารอการขึ้นปีที่ห้า ของการเรียนที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มด และเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ การต้องทนอยู่กับพวกเดอร์สลีย์ที่ร้ายกาจ และเขายังไม่ได้รับจดหมายแม้แต่ฉบับเดียว จากเพื่อนๆ ร่วมชั้นและเพื่อนสนิทอย่าง รอน วีสลีย์ และ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เสียอีก และยังไม่ได้ยินข่าวจากใครสักคน หลังจากเหตุการณ์เผชิญหน้ากับ ลอร์ดโวลเดอมอร์ จดหมายที่มาถึง กลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาหวังว่าจะได้รับ แจ้งว่าแฮร์รี่กำลังจะถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์ เนื่องจากใช้ละเมิดกฎการใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียน และต่อหน้ามักเกิ้ล ซึ่งก็คือ ดัดลีย์ ลูกพี่ลูกน้องของเขา โดยไม่คำนึงว่า นั่นเป็นการป้องกันตัวจากการโจมตีอย่างดุเดือด และไร้คำอธิบายของสองผู้คุมวิญญาณ
แฮร์รี่ต้องแก้ข้อกล่าวหาจนถึงที่สุด ต่อหน้าศาลโดยมีคอร์นีเลียส ฟัดจ์ รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ ที่เลือกปฏิบัติในการกำกับ แต่แฮร์รี่ถูกตัดสินให้พ้นผิด ต่อมาแฮร์รี่กลับมายังฮอกวอตส์ ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของแฮร์รี่ถูกลดทอนลง เพราะเรื่องโกหกเกี่ยวกับเรื่องการเผชิญหน้าครั้งล่าสุดของหนุ่มวัยรุ่นและโวลเดอมอร์
แฮร์รี่รู้สึกถูกตัดขาดจากสังคมและโดดเดี่ยว อีกทั้งยังถูกรบกวนด้วยฝันร้าย ที่เป็นเหมือนการทำนายเหตุการณ์น่าสพรึงกลัวต่างๆ แต่แล้วศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ผู้ที่เขาต้องการคำปรึกษามากที่สุด กลับทำตัวห่างเหินอย่างแปลกๆ
แล้วแฮร์รี่พึ่งจะรู้ว่า ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ก่อตั้งภาคีนกฟินิกซ์ ขึ้นอย่างลับๆโดยทางกระทรวงที่ไม่ทราบ แต่ ซีเรียส แบล็ก, เซเวอรัส เสนป, แมด อาย-มูดดี้,อาเธอร์-มอลลี วิสลีย์,รีมัส ลูปิน,นิมฟาดอร่า ท็องส์ และคนอื่นๆ ก็เป็นสมาชิกภาคีด้วย โดยสถานที่ตั้งของภาคี อยู่ที่ กริมโมสเพรส บ้านของเก่าซีเรียส โดยที่ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ เสกคาถา ซ่อนบ้านไว้ด้วย
ในขณะเดียวกันที่โรงเรียน เพื่อจับตาดูดัมเบิลดอร์และบรรดานักเรียนฮอกวอตส์ ฟัดจ์ได้แต่งตั้งอาจารย์สอนวิชาศาสตร์มืดคนใหม่ ศาสตราจารย์โดโลเรส อัมบริดจ์ แต่บทเรียนคาถาป้องกันตัวที่ “กระทรวงอนุมัติ” ของศาสตราจารย์อัมบริดจ์ กลับทำให้บรรดาพ่อมดแม่มดน้อยไม่พร้อมที่จะป้องกันตนเอง จากพลังมืดที่ข่มขู่พวกเขา ดังนั้นจากการกระตุ้นของเฮอร์ไมโอนี่และรอน แฮร์รี่จึงตกลงยินยอมที่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ในการพบปะกันอย่างลับๆ ของกลุ่มนักเรียนจำนวนไม่กี่คน ที่ตั้งชื่อกลุ่มว่า “กองทัพดัมเบิลดอร์” แฮร์รี่ฝึกสอนวิธีการให้พวกเขาป้องกันตัวเองจากศาสตร์มืด เตรียมให้พ่อมดแม่มดรุ่นเยาว์ และใช้ห้องลับห้องหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏบนแผนที่ตัวกวนนั่นคือ ห้องต้องประสงค์ เขาฝึกซ้อมสมาชิกที่นี่ก่อนที่จะเข้าสู่การต่อสู้อันไม่ธรรมดา ภายใต้ปลายจมูกของกระทรวง
ในภาคนี้ บรรดานักเรียนฮอกวอตส์ ปี 5 ต้อง สอบ ว.พ.ร.ส. (วิชาพ่อมดระดับสามัญ)นักเรียนทั้งหลายต่างกดดันเป็นที่สุดโดยเฉพาะแฮร์รี่ เมื่อกระทรวงเวทมนตร์เริ่มครอบงำโรงเรียนฮอกวอตส์ ไม่มีใครเชื่อว่า ลอร์ดโวลเดอมอร์ กำลังเข็มแข็งขึ้นเรื่อยมาหลังจากการประลองเวทไตรภาคี สิ้นสุดลง จนสุดท้ายแฮร์รี่ก็ต้องเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ(อีกครั้ง) ทางกระทรวงจะทราบความจริง หรือไม่ และความกดดันของโรงเรียนจะเป็นเช่นไร ต้องติดตาม...




ภาค 6
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม (Harry Potter and the Half-Blood Prince) ภาพยนตร์ภาคที่ 6 โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จากวรรณกรรมเยาวชน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม โดยมีเดวิด แบร์รอน กับไมเคิล โกลเดนเบิร์กเป็นผู้อำนวยการสร้าง และสตีฟ โคลฟเขียนบทภาพยนตร์ จากนิยายโดย เจ.เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งตอนแรกมีโปรแกรมให้ผู้กำกับที่ชื่อ กิลเลโม เดล โทโร มาเป็นผู้กำกับ แต่ได้รับการปฏิเสธถึง 2 ครั้ง ทำให้เดวิด เยตส์ผู้กำกับคนก่อนมากำกับในภาคนี้และจะเป็นผู้กำกับในแฮร์รี่ พอตเตอร์ในภาคที่เหลือทั้งหมด
หลังจากโลกเวทมนตร์รับรู้ว่าลอร์ดโวลเดอมอร์ได้กลับคืนสู่โลกเวทมนตร์อีกครั้ง ผู้คนต่างหวาดกลัวและมีข่าวการหายตัวไปของผู้คนออกมาเรื่อยๆ ภาพยนตร์เปิดฉากด้วยการถล่มสะพานมิลเลนเนียมของเหล่าผู้เสพความตายและฉากลักพาตัวโอลลิแวนเดอร์จากตรอกไดแอกอนซึ่งในหนังสือมีการบรรยายไว้สั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัด และฉากการทำปฏิญาณไม่คืนคำของเซเวอร์รัส สเนปและนาร์ซิสซา มัลฟอย
ดัมเบิลดอร์ได้ดึงตัวแฮร์รี่จากสถานีรถไฟเซอร์ไบตันแถบชานเมืองเพื่อเดินทางไปเชื้อเชิญให้ฮอเรซ ซลักฮอร์น อดีตอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของโรงเรียนฮอกวอตส์กลับมาสอนอีกครั้ง แต่พอทั้งคู่เดินทางไปถึงกลับพบว่าข้าวของในบ้านถูกทำลายเสียหาย ภายหลังจึงรู้ว่าเป็นฝึมือตบตาของซลักฮอร์นเอง ในตอนแรกนั้นซลักฮอร์นยังยืนยันที่จะไม่กลับ แต่เมื่อได้คุยกับแฮร์รี่เป็นเวลาสั้นๆ ในที่สุดซลักฮอร์นก็ยอมกลับไปสอน เพราะเชื่อว่าตนจะปลอดภัยกว่าเมื่ออยู่ที่ฮอกวอตส์
หลังจากนั้นแฮร์รี่ได้ย้ายไปพักที่บ้านของรอนและพบกับเฮอร์ไมโอนี่ที่บ้านโพรงกระต่าย แฮร์รี่พบว่าตนถูกสื่อต่างๆ เรียกว่า "คนที่ถูกเลือก" และรู้สึกว่าตนหลงรักจินนี่ น้องสาวของรอน วันหนึ่งแฮร์รี่และเพื่อนไปซื้อของที่ตรอกไดแอกอนและพบว่าเดรโก มัลฟอยกับแม่มีพฤติกรรมน่าสงสัยจึงได้แอบตามมัลฟอยไปที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์ในตรอกน็อคเทิร์นและได้พบว่ามัลฟอยชี้ไปที่สิ่งหนึ่งคล้ายตู้ที่เขาอยากให้บอร์เจ็นซ่อมให้ แฮร์รี่สงสัยว่ามัลฟอยเป็นผู้เสพความตายแต่ก็ถูกรอนและเฮอร์ไมโอนี่ต่อว่าว่าแฮร์รี่คิดมากไป
เจ้าชายเลือดผสม
ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่ได้พบกับหนังสือวิชาปรุงยาของเจ้าชายเลือดผสม และพบว่าในนั้นมีวิธีการปรุงยาที่ถูกต้องและแม่นยำกว่าวิธีที่ไลเบเชียว โบเรจ ผู้แต่งเขียนไว้ แฮร์รี่จึงปรุงน้ำยาตายทั้งเป็นได้ดีที่สุดและได้รับน้ำยานำโชคเป็นรางวัล หลังจากนั้นดัมเบิลดอร์เริ่มสอนพิเศษแก่แฮร์รี่เป็นการส่วนตัวโดยให้ดูความทรงจำเกี่ยวกับโวลเดอมอร์ในวัยเด็ก ดัมเบิลดอร์ก็พร่ำบอกแฮร์รี่ว่าความทรงจำเหล่านี้จะเป็นหนทางที่แฮร์รี่สามารถหาจุดอ่อนกำจัดโวลเดอมอร์ได้
ในวันหยุดฮอกส์มี้ด แคตี้ เบลล์ นักเรียนบ้านกริฟฟินดอร์ถูกสร้อยต้องคำสาปจนหมดสติ แฮร์รี่คิดว่าเป็นฝีมือของมัลฟอย ในการแข่งขันควิดดิช รอนสามารถป้องกันประตูได้ทุกลูกทำให้กริฟฟินดอร์ชนะการแข่งขันอย่างขาดลอย คืนนั้นรอนคบกับลาเวนเดอร์ บราวน์อย่างเปิดเผยด้วยการจูบเธอ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่เสียใจมาก ในงานเลี้ยงคริสต์มาสของซลักฮอร์น แฮร์รี่เห็นมัลฟอยพยายามที่จะแอบเข้ามาในงานแต่ถูกจับได้ หลังจากนั้นแฮร์รี่ได้ไปแอบฟังสเนปและมัลฟอยคุยกันและพบว่ามัลฟอยกำลังทำภารกิจให้ใครบางคนอยู่
บนรถไฟขากลับวันคริสต์มาส แฮร์รี่เล่าเรื่องที่ตนประสบให้รอนฟัง รอนตกใจมากและบอกแฮร์รี่ว่าบ้ามากที่สเนปจะทำปฏิญาณไม่คืนคำ หากคืนคำก็จะตายทันที ที่บ้านโพรงกระต่าย แฮร์รี่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท็องส์และลูปิน ลูปินย้ำให้แฮร์รี่เชื่อใจสเนปเพราะดัมเบิลดอร์เชื่อใจเขา คืนนั้นแฮร์รี่กำลังจะได้จูบจินนี่ แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ ผู้ที่แฮร์รี่เคียดแค้นอย่างยิ่ง กับเฟนเรีย เกรย์แบ็ก มนุษย์หมาป่าชื่อกระฉ่อน ได้บุกทำลายบ้านโพรงกระต่ายเสียยับเยิน
ความลับของซลักฮอร์น
เมื่อกลับฮอกวอตส์ แฮร์รี่ได้เข้าไปในความทรงจำของซลักฮอร์นและพบว่าโวลเดอมอร์กำลังซักถามถึงเรื่องฮอร์ครักซ์ ซึ่งแฮร์รี่ไม่รู้จักแม้แต่น้อย แต่ความทรงจำถูกดัดแปลงเพราะซลักฮอร์นต้องการลบล้างความผิดที่เขาทำไว้ในอดีต ดัมเบิลดอร์จึงขอร้องให้แฮร์รี่ขอความทรงจำที่แท้จริงจากซลักฮอร์น แต่ครั้งแรกก็ถูกปฏิเสธเสียแล้ว วันหนึ่งแฮร์รี่เห็นรอนพร่ำเพ้อถึงโรมิลด้า เวนจึงรู้ว่ารอนถูกยาเสน่ห์จึงพารอนไปให้ซลักฮอร์นแก้พิษยาให้ แต่รอนกลับถูกยาพิษในเหล้าสมุนไพรและเกือบเอาตัวไม่รอด ระหว่างที่รอนสลบอยู่ที่ห้องพยาบาล รอนได้ละเมอถึงเฮอร์ไมโอนี่ ลาเวนเดอร์คิดว่ารอนนอกใจเธอจึงได้เลิกกับรอนโดยที่รอนไม่รู้ตัว
ไม่นานนัก แคตี้ก็กลับมา แฮร์รี่เดินเข้าไปซักถามเธอก็ตอบทันทีว่าจำคนที่สะกดใจเธอไม่ได้ ขณะนั้นมัลฟอยเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นสีหน้าของแฮร์รี่และแคตี้ก็รีบแจ้นออกไปจากห้องโถงใหญ่ เข้าไปในห้องน้ำและร้องไห้ แฮร์รี่ที่ตามไปติดๆ ก็แอบฟังมัลฟอยและเดินเข้าไปโดยที่ไม่รู้ตัว มัลฟอยเห็นเขาไม่รอช้ายิงคาถาใส่ สู้กันอยู่สักพักแฮร์รี่จึงใช้คาถาเซ็กตัมเซมปร้า คาถาของเจ้าชายเลือดผสม ทำให้มัลฟอยได้รับบาดเจ็บสาหัส สเนปเข้ามาพบและช่วยรักษาแผลให้มัลฟอย แฮร์รี่รู้สึกว่าถูกสเนปอ่านใจและรู้ที่มาของคาถานั้นแล้ว จึงคิดจะนำหนังสือของเจ้าชายเลือดผสมไปซ่อนโดยจินนี่เป็นคนเอาไปซ่อนให้ในห้องต้องประสงค์ ทั้งคู่จูบกันในห้องนั้น แฮร์รี่และจินนี่จึงเริ่มคบกัน
แฮร์รี่รู้สึกดีขึ้นหลังจากการจูบ แต่เขาก็ยังเอาความทรงจำมาจากซลักฮอร์นไม่ได้ จนกระทั่งรอนแอบถองเขาจึงนึกออกว่าตนมีน้ำยานำโชคจึงได้ใช้มันและไปที่กระท่อมแฮกริด ระหว่างทางเจอซลักฮอร์น จึงได้เชิญไปกระท่อมแฮกริดด้วย เมื่อไปถึง แฮกริดกำลังจะฝังอาราก็อก แมงมุมของเขาและเพื่อนเก่าแก่ ซลักฮอร์นจึงกล่าวอวยพรและขอเก็บพิษแมงมุม เมื่อพลบค่ำแฮกริดและซลักฮอร์นดื่มสุราจนเมามาย แฮร์รี่จึงได้โอกาสขอร้องซลักฮอร์นให้มอบความทรงจำเพื่อแม่ของเขา ในที่สุดแฮร์รี่ก็ได้มันมาแล้วนำไปให้ดัมเบิลดอร์ทันที ในที่สุดก็ได้รู้ความจริงว่าโวลเดอมอร์สร้างฮอร์ครักซ์เพื่อเก็บเศษเสี้ยววิญญาณของเขาไว้ แฮร์รี่จึงสัญญากับดัมเบิลดอร์ว่าจะไปตามหาฮอร์ครักซ์ด้วยกัน
วาระสุดท้าย
วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ดัมเบิลดอร์นัดแฮร์รี่มาเจอบนหอดูดาว และพาแฮร์รี่ไปยังถ้ำลึกลับที่เชื่อว่าเก็บฮอร์ครักซ์ชิ้นหนึ่งไว้ ภายใต้เงื่อนไขข้อเดียวคือเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของดัมเบิลดอร์ทุกประการ ทั้งสองมาถึงใจกลางถ้ำที่มีทะเลสาบ ดัมเบิลดอร์เรียกเรือขึ้นมาจากน้ำ ทั้งสองมาถึงเกาะกลางทะเลสาบและพบว่าฮอร์ครักซ์ ซึ่งเป็นล็อกเกตของซัลลาซาร์ สลิธีริน นอนอยู่ก้นบึ้งของอ่างคริสตัล มีน้ำยาอยู่เต็มอ่างคอยป้องกันล็อกเกต ดัมเบิลดอร์ขอให้แฮร์รี่ตักน้ำยาให้เขาดื่มจนกว่าจะหมด ดัมเบิลดอร์ทุกข์ทรมานอย่างมาก เมื่อเสร็จสิ้นแฮร์รี่จึงพยายามตักน้ำให้ดัมเบิลดอร์ แต่อินเฟอไร ซากศพเดินได้นับร้อยผุดขึ้นจากน้ำและลากแฮร์รี่ลงสู่ก้นทะเลสาบ โชคดีที่ดัมเบิลดอร์ฟื้นสติทันและเสกวงแหวนไฟไล่อินเฟอไร ทั้งสองจึงออกมาจากถ้ำและหายตัวไปยังหอดูดาว
คืนนั้น มัลฟอยที่เพิ่งฟื้นจากบาดแผลแอบย่องออกมาจากห้องพยาบาลเงียบๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องต้องประสงค์ที่เขาขลุกอยู่ตลอดปี พาผู้เสพความตายจำนวนหนึ่งเข้ามาผ่านตู้อันตรธานที่เขาซ่อมเสร็จ เมื่อดัมเบิลดอร์กับแฮร์รี่มาถึงก็รู้สึกได้ถึงอันตราย ดัมเบิลดอร์ให้แฮร์รี่หลบอยู่ข้างล่างและถูกมัลฟอยปลดไม้กายสิทธิ์ทันทีที่แฮร์รี่ซ่อนตัวเสร็จ ดัมเบิลดอร์พยายามโน้มน้าวมัลฟอยจนเกือบสำเร็จแล้วเมื่อผู้เสพความตายขึ้นมาถึงชั้นบนของหอ แฮร์รี่พยายามต่อสู้จากข้างล่างแต่ก็ถูกสเนปชี้ไม้ห้าม แฮร์รี่จึงได้แต่มองเหตุการณ์จากข้างล่าง ดัมเบิลดอร์อ้อนวอนสเนป สเนปจึงใช้คำสาปพิฆาต อะวาดา เคดาฟ-รา ปลิดชีวิตดัมเบิลดอร์ตกหอไป
สเนปพามัลฟอยและพวกหนีทางประตูหน้า เบลลาทริกซ์ได้เสกตรามารขึ้นฟ้า ทำลายห้องโถงใหญ่พังพินาศและเสกกระท่อมแฮกริดให้ลุกเป็นไฟ แฮร์รี่ตามมาทันและประจันหน้ากับสเนป แฮร์รี่สู้ด้วยคาถา เซ็กตัมเซ็มปร้า ของเจ้าชายเลือดผสมแต่ก็ถูกสเนปปัดได้ ก่อนจากกัน สเนปได้เปิดเผยตัวเองว่าเป็นเจ้าชายเลือดผสม แฮร์รี่กล้าดียังไงถึงใช้คาถาของเขามาฆ่าตัวเขาเอง แล้วก็หลบหนีไป แฮร์รี่มาถึงจุดที่ศพของดัมเบิลดอร์นอนอยู่ ห้อมล้อมด้วยนักเรียนและคณาจารย์ที่โศกเศร้า แฮร์รี่พบว่าฮอร์ครักซ์เป็นของปลอม ของจริงถูกช่วงชิงโดยชายชื่อ ร.อ.บ.
ในตอนจบแฮร์รี่ รอนและเฮอร์ไมโอนี่อยู่ที่หอคอย แฮร์รี่กล่าวว่าเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกและจะออกไปตามหาฮอร์ครักซ์ที่เหลือ รอนและเฮอร์ไมโอนี่จะไปด้วยแฮร์รี่จึงนำล็อกเก็ตของปลอมที่มีจดหมายจากบุคคลลึกลับ ร.อ.บ.ที่มีความว่าเขาได้นำล็อกเกตของจริงไปซ่อนและกำลังจะทำลายมัน สิ่งที่พวกแฮร์รี่ทำไปไม่เชิงสูญเปล่าพวกเขายังพอมีความหวัง ความหวังที่จะกำจัดโวลเดอมอร์




ภาค 7.1
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1 ( Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1) เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี-ผจญภัยภาคต่อที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของเจ. เค. โรว์ลิ่ง ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตอนที่ 7 ในชื่อ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่เนื่องจากในภาคสุดท้ายนั้นมีรายละเอียดมากและทางผู้สร้างต้องการให้หนังจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ จึงแบ่งออกเป็น 2 ตอนคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูตตอนที่ 1 และตอนที่ 2 สำหรับตอนที่ 1 เริ่มถ่ายทำเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 และจะเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ตอนที่ 2 จะเข้าฉายในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ภาพยนตร์มีนักแสดงนำได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ รูเพิร์ท กรินท์ และเอ็มม่า วัตสัน กำกับการแสดงโดย เดวิด เยตส์ เขียนบทโดยสตีฟ โคลฟ อำนวยการสร้างโดย เดวิด เฮย์แมน และเดวิด แบร์รอน
โดยเนื้อเรื่องของภาคนี้จะดำเนินเรื่องต่อจากภาค 6 หลังจากที่ดัมเบิลดอร์จากไปพร้อมกับปริศนาของฮอร์ครักซ์ทไว้ให้แฮร์รี่สานต่อ โลกเวทมตร์และโลกมนุษย์ได้ถูกแทรกแซงจากลอร์ดโวลเดอมอร์อย่างสมบูรณ์ แฮร์รี่ซึ่งถูกโวลเดอมอร์หมายหัวจึงต้องหลบหนีจากการตามล่า อีกทั้งยังต้องทำภารกิจของตามหาฮอร์ครักซ์ที่ดัมเบิลดอร์ทิ้งไว้ให้เขาโดยมีรอนและเฮอร์ไมโอนี่เป็นเพื่อนร่วมเดินทางโดยมีอุปสรรคและอันตรายรอพวกเขาอยู่ และผลสุดท้ายมันอาจนำมาซึ่งสงครามระหว่างแฮร์รี่และโวลเดอมอร์
ภาค 1 เริ่มต้นในขณะที่แฮร์รี่, รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ออกเดินทางสู่ภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตรายเพื่อแกะรอยและหาทางทำลายฮอร์ครัก ซ์ ความลับของการเป็นอมตะและการทำลายล้างแห่งโวลเดอมอร์ โดยลำพังและไร้ซึ่งคำชี้แนะของบรรดาอาจารย์ หรือการปกป้องของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ เพื่อนทั้งสามจะต้องพึ่งพากันและกันมากกว่าที่เคยผ่านมา แต่ก็ยังมีพลังด้านมืดเข้ามาแทรกกลางและคอยคุกคามจนทั้งหมดต้องแยกจากกันในเวลาเดียวกัน โลกของพ่อมดแม่มดก็กลายเป็นแหล่งอันตรายสำหรับศัตรูทุกคนของดาร์กลอร์ด สงครามที่หวั่นกลัวกันมานานเริ่มต้นขึ้น และบรรดาผู้เสพความตายของโวลเดอมอร์เข้ายึดครองกระทรวงเวทย์มนตร์และแม้กระ ทั่งฮอกวอตส์ สร้างความตื่นตระหนกและเข้าจับกุมทุกคนที่อาจอยู่ฝ่ายตรงข้าม แต่เป้าหมายหนึ่งที่พวกเขายังคงตามหาคือคนที่มีค่าที่สุดสำหรับโวลเดอมอร์ : แฮร์รี่ พอต
เตอร์ ผู้ที่ถูกเลือกซึ่งกลายเป็นผู้ที่ถูกล่า ในขณะที่เหล่าผู้เสพความตายค้นหาตัวแฮร์รี่ด้วยคำสั่งที่จะพาตัวเขาไปให้โว ลเดอมอร์…ทั้งเป็น



ภาค 7.2
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 (อังกฤษ: Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2) เป็นภาพยนตร์แฟนตาซี-ผจญภัยภาคต่อในปี พ.ศ. 2554 ที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ชื่อเดียวกันของเจ. เค. โรว์ลิ่ง อันเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์
เนื้อเรื่องของภาค 2 จะดำเนินเรื่องต่อจากภาคที่ 1 หลังจากที่พวกแฮร์รี่ออกเดินทางตามหาฮอร์ครักซ์ ชิ้นส่วนวิญญาณของโวลเดอมอร์ที่มีทั้งหมด 7 ชิ้น และสามารถค้นพบและทำลายลงได้ โดยยังเหลือฮอร์ครักซ์ที่ยังไม่ถูกทำลายอยู่ 4 ชิ้น แต่สุดท้ายพวกแฮร์รี่กลับถูกผู้เสพความตายจับแต่ก็สามารถหนีรอดมาได้ โดยการสละชีวิตของด๊อบบี้ แฮร์รี่ล่วงรู้ถึงนัยยะสำคัญเกี่ยวกับฮอร์ครักซ์อีกชิ้นหนึ่งที่เขาคาดว่าถูกซ่อนไว้ในธนาคารกริงกอตส์ ธนาคารที่มีด่านป้องกันแน่นหนาที่สุด พวกแฮร์รี่จึงวางแผนบุกเข้าไปเพื่อขโมยฮอร์ครักซ์ ในขณะเดียวกันโวลเดอมอร์ล่วงรู้ว่าพวกแฮร์รี่กำลังตามล่าหาฮอร์ครักซ์อยู่ จึงยกกองทัพเหล่าผู้เสพความตายเข้าปิดล้อมฮอกวอตส์ ที่ที่เขาซ่อนฮอร์ครักซ์อีกชิ้นไว้ เพื่อดักรอแฮร์รี่ และครั้งนี้ไม่มีทางที่แฮร์รี่จะถอยอีกต่อไป เขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ พร้อมด้วยกองทัพแห่งฮอกวอตส์และเหล่าผู้เสพความตาย ศึกครั้งนี้จึงเป็นศึกสุดท้ายที่มีโลกเวทมนตร์และโลกมนุษย์เป็นเดิมพัน